“วีรศักดิ์” เผยผลศึกษาไอทีดี พบควรเร่งศึกษานโยบาย One Belt, One Road ของจีนเพื่อสร้างโอกาสรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ SMEs ไทยในอนาคต



นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าได้สั่งการให้ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ไอทีดี ศึกษาโอกาสการค้าและการลงทุนไทยจากนโยบาย One Belt, One Road ของจีน เนื่องจาก ในช่วง 4 ทศวรรษ จีนมีการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง จนเศรษฐกิจจีนขยายตัวมีขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก คิดเป็นสัดส่วน 16 %ของเศรษฐกิจโลกทั้งหมด และก้าวขึ้นเป็นประเทศที่มีมูลค่าการค้ามากที่สุดในโลกจนทำให้สามารถสะสมทุนสำรองเงินตราต่างประเทศได้มากที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นประเทศที่มีการออกไปลงทุนในต่างประเทศมากเป็นอันดับ 2 ของโลก

ปัจจุบันบทบาทจีนในด้านความร่วมมือระหว่างประเทศได้โดดเด่นขึ้นอย่างมากภายใต้การนำของประธานาธิบดี สีจิ้นผิง (Xi Jinping) ซึ่งได้ผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศที่อยู่ในแนวเส้นทางสายไหม ภายใต้ชื่อเรียกว่า “ข้อริเริ่ม BRI” (Belt and Road Initiative) ข้อริเริ่ม BRI ของจีนได้รับการกล่าวถึงและจับตามากที่สุดซึ่งจะสร้างผลกระทบด้านเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงระดับโลก เนื่องจากผู้นำของจีนมีความมุมานะที่จะปลุกคืนชีพเส้นทางสายไหมในศตวรรษที่ 21 เพื่อใช้เป็นยุทธศาสตร์สำคัญใน การขยายบทบาทและแสวงหาผลประโยชน์ของจีนโดยการเชื่อมโยงกับภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกภายใต้ความพยายามที่จะสร้าง

“โมเดลใหม่” ในการบูรณาการจีนกับภูมิภาคต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรมและใช้ได้จริง เช่น การเชื่อมโยงระบบรางผ่านเส้นทางรถไฟยาวนับหมื่นกิโลเมตรจากจีน ผ่านหลายประเทศไปจนถึงภูมิภาคยุโรป

ที้งนี้การแสดงบทบาทนําของจีนในระดับโลกทั้งด้านการค้าและการต่างประเทศนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ของโลกที่ประเทศกําลังพัฒนาและประเทศในภูมิภาคเอเชียโดยเฉพาะจีนจะมีบทบาทต่อการกําหนดรูปแบบ ทิศทางการค้าและการลงทุนโลกมากยิ่งขึ้น ไทย จีน และประเทศในภูมิภาคอาเซียน ถือเป็นประเทศพันธมิตรทางเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงที่สําคัญ จีนถือเป็นประเทศคู่ค้าที่สําคัญของไทยและประเทศภูมิภาคอาเซียน ทั้งการเป็นตลาดรองรับการส่งออกและเป็นแหล่งนําเข้า นอกจากนั้น จีนถือเป็นประเทศผู้ลงทุนสําคัญในไทยและประเทศอาเซียนอื่น ๆ

อย่างไรก็ตามไทยในฐานะที่เป็นประเทศศูนย์กลางของอาเซียนตอนบนที่สามารถเชื่อมต่อกับเส้นทาง BRI ได้ทั้งทางบกและทางทะเล ซึ่งถือเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญบนระเบียงเศรษฐกิจจีน-คาบสมุทรอินโดจีน (CICPEC) ซึ่งเป็นหนึ่งในหกระเบียงเศรษฐกิจภายใต้ข้อริเริ่ม BRI ดังนั้น จึงควรมีการศึกษาวิเคราะห์โอกาสและผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบจากข้อริเริ่ม BRI ให้รอบคอบทั้ง มิติด้านการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบและโอกาสต่อผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้งต้องเตรียมความพร้อมด้านนโยบายเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากข้อริเริ่ม BRI ของจีน ทั้งนโยบายการค้าระหว่างประเทศเพื่อรองรับข้อริเริ่ม BRI และไทยควรใช้ศักยภาพในการมีบทบาทนําในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนในการพัฒนาความร่วมมือกับจีน ทั้งมิติด้านเศรษฐกิจและไม่ใช่เศรษฐกิจด้วย

“การคืนชีพให้กับเส้นทางสายไหมของจีนเป็นนโยนบายที่สั่นสะเทือนการค้าและเศรษฐกิจของโลกเป็นอย่างมาก ผมมองเห็นว่าหลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 สิ้นสุดลง ประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับนโยบาย One Belt, One Road ของจีนให้มากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างโอกาสและรองรับผลกระทบที่มีต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมของไทยจากนโยบายดังกล่าว” นายวีรศักดิ์ กล่าว