“วัคซีนChulaCOV-19”เจ๋ง! ผลทดสอบพบผลข้างเคียงน้อย ยับยั้งเชื้อข้ามสายพันธุ์ จ่อใช้เม.ย.65

วันที่ 16 สิงหาคม 2564โรงพยาบาล (รพ.) จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการ รพ.จุฬาฯ และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงความคืบหน้าการทดสอบวัคซีน ChulaCOV-19 ในอาสาสมัคร พร้อมประกาศเร่งวิจัยในระยะต่อไป

ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการ รพ.จุฬาฯ กล่าวว่า ศูนย์วิจัยวัคซีน จุฬาฯ ได้รับความร่วมมือจากนักวิจัยไทยและต่างประเทศ ในการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ชื่อว่า วัคซีน ChulaCOV-19 ซึ่งล่าสุดได้มีการทดลองในสัตว์ทดลอง และทดลองในมนุษย์ระยะแรก เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.2564 ซึ่งผลการวิจัยระยะที่ 1 เป็นเรื่องน่ายินดี ต้องขอบคุณทีมนักวิจัยจุฬาฯ และนักวิจัยจากนานาชาติ รวมทั้งทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนงานวิจัยชิ้นนี้ ซึ่งผลการวิจัยระยะต่อไป คาดว่าจะได้ผลดี และจะเป็นความหวังในการผลิตวัคซีนโดยคนไทย

ด้าน ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า การวิจัยดังกล่าวยังไม่ได้ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ และการทดสอบในมนุษย์ยังเป็นกลุ่มเล็กๆ อย่างไรก็ตาม การแจ้งข้อมูลครั้งนี้ ก็เพื่อให้ทราบถึงความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนจากคนไทยเพื่อคนไทย

ทั้งนี้ การทดสอบในอาสาสมัครแบ่งออกเป็นอาสาสมัคร 36 คน อายุ 18-55 ปี ส่วนอาสาสมัคร 36 คน อายุ 56-75 ปี และ 150 คน อายุ 18-75 ปี ซึ่งได้เริ่มฉีดในอาสาสมัครกลุ่มแรกไปเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.2564 ผลเบื้องต้นเรื่องความปลอดภัย ใน 36 คนแรก ยังไม่พบผลข้างเคียง ส่วนใหญ่จะเล็กน้อย ได้แก่ อ่อนเพลีย มีไข้ อาการหนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อ ส่วนใหญ่จะเกิดมากขึ้นในเข็มที่ 2 โดยส่วนใหญ่อ่อนเพลียมี  56%  มีไข้ 25%

“ขณะที่เปรียบเทียบผลรายงานของไฟเซอร์จะมีไข้ใกล้ๆ กับของเรา สรุปคือ ในการทดสอบอาสาสมัคร 18-55 ปี จำนวน 36 คน ยังไม่พบว่ามีผลข้างเคียงรุนแรงใดๆ ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นอยู่ในขั้นเล็กน้อย หรือปานกลาง และดีขึ้นภายในเฉลี่ยประมาณ 1-3 วัน ทั้งนี้ พบว่า 1.สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิดแอนติบอดี้ได้สูงเทียบได้กับวัคซีน mRNA เช่น ไฟเซอร์ ได้ 2.กระตุ้นแอนติบอดี้ที่ได้สูงมากในการยับยั้งเชื้อสายพันธุ์ดั้งเดิม 3.แอนติบอดี้ที่สูงนี้ สามารถยับยั้งเชื้อข้ามสายพันธุ์ได้ ทั้ง 4 สายพันธุ์ คือ แอลฟา เบต้า แกมมา และเดลต้า และ 4.สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิดที-เซลล์ ซึ่งจะช่วย ขจัดและสามารถควบคุมเชื้อที่อยู่ในเซลล์ของคนที่ติดเชื้อได้ แต่ต้องย้ำว่าการทดสอบนี้ยังจำนวนไม่มาก ยังเป็นผลเบื้องต้น” ศ.นพ.เกียรติ กล่าว

ส่วนขั้นต่อไปจะเป็นอย่างไรนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการทดลองระยะที่ 1 ซึ่งแบ่งกลุ่มอาสาสมัครเป็นกลุ่มอายุต่างๆ โดยจะฉีดในกลุ่มอายุ 56-75 ปีช่วงปลายเดือนนี้ ในส่วนโรงงานที่จะผลิตอยู่ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นของไบโอเน็ตเอเชีย (BionetAsia) ซึ่งหากเป็นไปตามแผนจะมีวัคซีนที่ผลิตคนไทยในเดือนตุลาคม 2565

“สำหรับรุ่นหนึ่งของเราก็ถือว่า ข้ามสายพันธุ์ได้ดี แต่เราก็ทำคู่ขนาดรุ่น 2 และ 3 รอไว้เช่นกัน สิ่งที่อยากฝากไว้คือ ถ้าประเทศไทยต้องการให้มีอย่างน้อย 1 ใน 4 วัคซีน ได้รับการรับรองให้เป็นวัคซีนในภาวะฉุกเฉิน EUA by April 2002 ต้องทำอย่างไร ทั้งนี้ ได้มีการวิเคราะห์ร่วมกับทีม ต้องมี 4 อย่าง คือ 1.การระดมทุน ต้องมีเป้าหมายร่วมกันทั้งรัฐและเอกชน และประชาชนต้องมีงบเพียงพอ 2.กติกาในการขึ้นทะเบียนวัคซีน ต้องมีกติกาออกมาชัดเจนภายในเดือนหน้า จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ว่า การขึ้นทะเบียนจะต้องทำวิจัยระยะ 2บี (2B) และหรือระยะ 3 อย่างไร จึงจะเพียงพอ 3.โรงงานผลิต ต้องเร่งดำเนินการให้สามารถผลิตวัคซีนที่มีคุณภาพและจำนวนมากได้ก่อนสิ้นปี และ 4.นโยบายการจองและจัดซื้อวัคซีนล่วงหน้าต้องมีความชัดเจน”

ผู้สื่อข่าวถามว่า วัคซีนจุฬาฯ จะผลิตได้เมื่อไร ศ.นพ.เกียรติ กล่าวว่า การจะได้วัคซีนชนิดนี้เมื่อไรนั้น ควรต้องมีใช้ก่อนสงกรานต์ปีหน้า แต่การจะทำออกมาได้นั้น ต้องหางบประมาณ และกติกาของ อย.จะออกมาในเรื่องการทดสอบว่า ต้องทำเฟส 2 บี ด้วยการเทียบกับผลงานวิจัยที่มีอยู่แล้วได้หรือไม่ ซึ่งงบจะไม่มาก

“หากต้องการจะได้ช่วงเดือนเมษายน ซึ่งโรงงานกำลังเร่งมือ ซึ่งรับเทคโนโลยีทรานเฟอร์มาในเรื่องการผลิตให้ได้มากและมีคุณภาพ ข่าวดีในสเกลเล็ก ซึ่งเฟส 2บี จะมีวัคซีนนำเข้าส่วนหนึ่ง และวัคซีนที่เราผลิตได้ แต่กรณีหากกติกาต้องทำระยะที่ 3 เดือนเมษายนจะไม่ได้ ก็ต้องเป็นไปตามกติกาสากล ส่วนในเรื่องการจัดซื้อล่วงหน้าก็เป็นความสำคัญว่า จะมีการสนับสนุนงบเพื่อให้จัดซื้อวัตถุดิบก่อนหรือไม่ สิ่งสำคัญหากจะต้องทำเฟส 3 ต้องมีกติกาชัดเจนและต้องเร็ว แต่จริงๆ เป้าของเราต้องการให้มีวัคซีนมาใช้ก่อนเมษายน ไม่ว่าจะเป็นของเราหรือไม่” ศ.นพ.เกียรติ กล่าว

ส่วนเรื่องวัคซีนจุฬาฯ ต้องฉีดกี่เข็มนั้น ศ.นพ.เกียรติ กล่าวว่า ข้อได้เปรียบเราคือ มีวัคซีน mRNA มาก่อน ซึ่งจะเหมือนไฟเซอร์ ฉีดห่างกัน 3 สัปดาห์ สำหรับคนไม่เคยรับวัคซีนมาก่อน ส่วนการฉีดในเด็กนั้น เมื่อปลอดภัยในผู้ใหญ่ จะมีผู้เชี่ยวชาญทางเด็กเตรียมโครงการศึกษา และในเรื่องเข็มกระตุ้น ก็มีงบเตรียมศึกษาเรื่องนี้ เพราะในเดือนเมษายน คนไทยน่าจะฉีดวัคซีนเข็ม 2 หมดแล้ว ก็น่าจะเป็นการฉีดวัคซีนเข็ม 3 ต่อไป

ด้าน นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า สถาบันวัคซีนฯ กำลังหารือกับ อย.ในการวางแนวทางการขึ้นทะเบียนวัคซีนในประเทศ ซึ่งไม่ใช่แค่ของจุฬาฯ แต่ยังรวมถึงของใบยา ขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) หรือ ไบโอเน็ตเอเชียเอง และของจุฬาฯ สิ่งเหล่านี้ต้องใช้การปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญ เพราะเป็นเรื่องใหม่ แต่สถาบันวัคซีนฯ จะรับไปดำเนินการ ซึ่งมีความเป็นไปได้ เพราะหลายประเทศได้ใช้การขึ้นทะเบียนแบบฉุกเฉิน สิ่งสำคัญต้องยืนอยู่บนมาตรฐานความปลอดภัยของวัคซีน เพราะแม้จะใช้ในภาวะฉุกเฉินก็ต้องยึดความปลอดภัยเป็นหลัก