ร้อนสุดๆ!! เมษายนปีนี้มีแนวโน้มอุณหภูมิสูงถึง 43 องศา



  • กรมอุตุนิยมวิทยาร่วมกับกรมอนามัย
  • แนะประชาชนดูค่าดัชนีความร้อนเฝ้าระวังผลกระทบและอันตราย
  • ควรจิบน้ำบ่อยโดยไม่ต้องรอให้กระหายน้ำ ซึ่งจะสามารถป้องกันภาวะขาดน้ำได้

ดรชมภารี  ชมภูรัตน์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า ในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน จะเป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุดของปี กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าอุณหภูมิจะสูงถึง 43 °ซึ่งอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยจังหวัดที่จะมีแนวโน้มอุณหภูมิสูงที่สุด คือ สุโขทัย ตาก ลำปาง แม่ฮ่องสอน ทั้งนี้ คาดว่าประเทศไทยจะมีสภาพอากาศร้อนจัดยาวไปจนถึงช่วงเดือนต้นเดือนพฤษภาคม

สำหรับดัชนีความร้อนหรือHeat Indexคืออุณหภูมิที่คนเรารู้สึกได้ในขณะนั้นว่าอากาศร้อนเป็นอย่างไรหรืออุณหภูมิที่ปรากฎในขณะนั้นเป็นเช่นไรโดยค่าดัชนีความร้อนสามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อระบุความเสี่ยงที่ร่างกายจะได้รับผลกระทบจากความร้อนหากพื้นที่ที่มีอากาศร้อนหากเกิดร่วมกับความชื้นสูงแล้วจะทำให้คนเรารู้สึกเหมือนอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิของอากาศขณะนั้นซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพโดยกรมอุตุนิยมวิทยาได้ติดตามและจัดทำพยากรณ์ค่าดัชนีความร้อนที่สามารถบ่งบอกถึงระดับอันตรายจากความร้อนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ชัดเจนกว่าการติดตามและคาดการณ์อุณหภูมิอากาศเพียงอย่างเดียว

ทั้งนี้ จึงขอแนะนำให้ประชาชนใช้ข้อมูลพยากรณ์ค่าดัชนีความร้อน(Heat Index Analysis)เพื่อเฝ้าระวังผลกระทบจากสถานการณ์ความร้อนต่อสุขภาพซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาโดยกลุ่มวิจัยและพัฒนาสารสนเทศอุตุนิยมวิทยาได้จัดทำพยากรณ์ค่าดัชนีความร้อน(HI)เผยแพร่ไว้ในเว็บไซต์http://www.rnd.tmd.go.thโดยใช้สีเพื่อกำหนดระดับได้แก่สีเขียวหมายถึงระดับเฝ้าระวังแทนค่าดัชนีความร้อน27-32°.ผลกระทบต่อสุขภาพคืออ่อนเพลียวิงเวียนคลื่นไส้อาเจียนปวดศีรษะปวดเมื่อยตามตัวจากการสัมผัสความร้อนหรือออกกำลังกายหรือทำงานใช้แรงงานท่ามกลางอากาศที่ร้อนสีเหลืองหมายถึงระดับเตือนภัยแทนค่าดัชนีความร้อน32-41°.ผลกระทบต่อสุขภาพทำให้เกิดอาการตะคริวจากความร้อนและเกิดอาการเพลียแดดหากสัมผัสความร้อนเป็นเวลานานสีส้มหมายถึงระดับอันตรายแทนค่าดัชนีความร้อน41-54 °.ผลกระทบต่อสุขภาพมีอาการตะคริวที่น่องต้นขาหน้าท้องหรือไหล่ทำให้ปวดเกร็งมีอาการเพลียแดดและอาจเกิดภาวะลมแดด (Heat Stroke)ได้หากสัมผัสความร้อนเป็นเวลานานและสีแดงหมายถึงระดับอันตรายมากแทนค่าดัชนีความร้อนมากกว่า54 °.ผลกระทบต่อสุขภาพจะเกิดภาวะลมแดด(Heat Stroke)โดยมีอาการตัวร้อนเวียนศีรษะหน้ามืดซึมลงระบบอวัยวะต่างในร่างกายล้มเหลวและทำให้เสียชีวิตได้หากสัมผัสความร้อนติดต่อกันหลายวัน

สอดคล้องกับข้อมูลจากนายแพทย์สุวรรณชัยวัฒนายิ่งเจริญชัยอธิบดีกรมอนามัยที่ระบุว่าโรคฮีทสโตรกมีสาเหตุเกิดจากการที่ร่างกายอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อุณหภูมิสูงและได้รับความร้อนมากเกินไปทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติของสมองในส่วนการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายทำให้มีอุณหภูมิในร่างกายสูงเกิน40 °.ส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตและระบบสมองได้รวมทั้งผู้ที่มีความเสี่ยงได้แก่ผู้ที่ออกกำลังกายหรือทำงานใช้แรงงานอย่างหนักท่ามกลางอากาศร้อนเป็นเวลานานเช่นคนงานก่อสร้างทหารเกณฑ์เกษตรกรนักวิ่งมาราธอนผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงเช่นนอนพักผ่อนไม่เพียงพอดื่มน้ำในปริมาณน้อยติดสุราทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่สูงกลุ่มสูงอายุกลุ่มเด็กเล็กที่มีความสามารถในการระบายความร้อนจากร่างกายได้น้อยกว่ากลุ่มวัยรุ่นที่มีร่างกายแข็งแรงปกติคนที่มีโรคประจำตัวเช่นโรคหัวใจโรคความดันโลหิตสูง

รวมถึงผู้ที่ต้องใช้ยารักษาโรคบางชนิดเป็นยาที่กระตุ้นการขับปัสสาวะจึงขัดขวางกลไกการกำจัดความร้อนออกจากร่างกายทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากความร้อนได้มากขึ้นกลุ่มเสี่ยงต้องหมั่นสังเกตอาการตนเองเพื่อลดความเสี่ยงจากโรคฮีทสโตรกเนื่องจากโรคดังกล่าวเป็นโรคที่มีความรุนแรงมากหากไม่ได้รับการปฐมพยาบาลทันทีอาจเสียชีวิตได้โดย4อาการสำคัญของโรคนี้ได้แก่1)เหงื่อไม่ออก2)สับสนมึนงง3)ผิวหนังเป็นสีแดงและแห้ง4)ตัวร้อนจัดในกรณีที่พบผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวให้โทรแจ้ง1669ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยให้พาผู้ป่วยหลบเข้าที่ร่มหรือห้องที่มีความเย็นให้นอนราบยกเท้าและสะโพกสูงถอดเสื้อผ้าให้เหลือเท่าที่จำเป็นรีบใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตามตัวหรือวางถุงน้ำแข็งที่คอรักแร้และขาหนีบหากผู้ป่วยหมดสติให้จับนอนตะแคงเพื่อป้องกันโคนสิ้นอุดทางเดินหายใจและนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วด้วยรถปรับอากาศหรือเปิดหน้าต่างรถเพื่อให้อากาศถ่ายเท

ทั้งนี้ ประชาชนผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลพยากรณ์อากาศและดัชนีความร้อนได้จากเว็บไซต์https://www.tmd.go.th/ และเฟซบุ๊กของกรมอุตุนิยมวิทยา https://www.facebook.com/tmd.go.th และร่วมกันรายงานผลกระทบต่อสุขภาพที่ https://hia.anamai.moph.go.th/th/anamaipoll