

- กลุ่มพัฒนาอสังหาฯ สัญชาติฮ่องกง เปิดเกมลุย
- ลั่นที่ผ่านมาเปิดแล้ว 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 44,000 ล้านบาท
- พร้อมปรับทัพการขายจากสู่ออนไลน์
- ล่าสุดผุดคอนโดไฮไรส์ ‘เดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหง’ เจาะทำเลย่านรามคำแหง
น.ส.มณีกานต์ อิสรีย์โกศล ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การตลาด และสื่อสารภาพลักษณ์องค์กร ประจำภูมิภาคไทย บริษัท ริสแลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ริสแลนด์บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่สัญชาติฮ่องกง ซึ่งมีโครงการอสังหาริมทรัพย์อยู่ใน 7 ประเทศทั่วโลก สำหรับประเทศไทยริสแลนด์เริ่มเข้ามาลงทุนเมื่อปี 2560 ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีแรกปี 2563 บริษัทยอมรับว่า โดยรวมได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด-19 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ด้วยนโยบายและแนวทางของบริษัท ซึ่งกล้าที่จะลองและกล้าที่จะเปลี่ยน จึงมีการปรับกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละประเทศ โดยเน้นการขายออนไลน์ รวมถึงการมองหาและสะสมที่ดินแปลงใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อวางแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่เมื่อสถานการณ์ต่างๆ เริ่มคลี่คลาย

ทั้งนี้สำหรับประเทศไทย บริษัทเปิดตัวโครงการแล้วทั้งหมด 7 โครงการ ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 1 โครงการ คอนโดมิเนียม 4 โครงการ และโครงการมิกซ์ยูส 2 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 44,000 ล้านบาท นับเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติอันดับ 1 ที่มีมูลค่าการลงทุนในประเทศสูงที่สุดในขณะนี้
น.ส.มณีกานต์ กล่าวว่า สำหรับปี 2563 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 23,500 ล้านบาท โดยขณะนี้เปิดไปแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ คลาวด์ เรสซิเด้นท์ สุขุมวิท 23 มูลค่า 3,600 ล้านบาท และโครงการ สกายไรส์ อเวนิว สุขุมวิท 64 มูลค่า 15,000 ล้านบาท โดยทั้งสองโครงการได้รับผลตอบรับที่ดี เพราะตั้งอยู่ในทำเลที่ดีบนเส้นสุขุมวิท ใกล้รถไฟฟ้า

“นอกจากนี้โครงการล่าสุดที่เปิดตัวคือ โครงการ เดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหง มูลค่า 4,900 ล้านบาท เริ่มต้นเพียง 1.6 ล้านบาท โดยจะเปิดขายเป็นทางการ วันที่ 19-20 ก.ย.นี้ ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าการลงทุนรวมในปีนี้กว่า 23,500 ล้านบาท ถือว่าเป็น Top 3 ในประเทศไทย” น.ส.มณีกานต์ กล่าว
ทั้งนี้จากสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ส่งผลให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของประเทศไทย นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาได้ ส่งผลให้บริษัทชะลอการเปิดโครงการใหม่ที่ภูเก็ต มูลค่า 5,800 ล้านบาท (Phase 1) อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงมีความเชื่อมั่นต่อตลาดภายในประเทศ เพราะจากช่วงที่ผ่านมา ยังคงมีกลุ่มที่มีกำลังซื้ออยู่ และเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีมุมมองที่แตกต่างออกไปว่า อีกทั้งช่วงเวลาที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการซื้อบ้าน หรือคอนโดมิเนียม เพราะได้ราคาและโปรโมชั่นที่ดีที่สุด

นายวอลเต้อร์ หลง ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหง กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมในย่านรามคำแหงคึกคักมากขึ้น จนได้รับการเรียกว่าเป็น EBD หรือ Extension Business District ย่านเมืองธุรกิจส่วนต่อขยาย ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพ และเป็นที่จับตามองของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่หลายค่าย จากอานิสงค์ของโครงการรถไฟฟ้า 3 เส้นใหม่ในโซนตะวันออกของกรุงเทพฯ ทั้งสายสีส้ม ช่วงมีนบุรี-ศูนย์วัฒนธรรมฯ สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สมุทรปราการ และสายสีน้ำตาล ช่วงศูนย์ราชการนนทบุรี-แยกลำสาลี
ทั้งนี้อุปทานคอนโดมิเนียมในย่านรามคำแหงเริ่มพุ่งสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2560 นับตั้งแต่มีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันออก) ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี โดยคาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2563 จะมีจำนวนคอนโดมิเนียมใหม่เปิดขายสะสมสูงถึง 6,000 ยูนิต มีอัตราการดูดซับของตลาดกว่า 83% และมีอัตราผลตอบแทนการลงทุนประมาณ 5%

