รัฐเดินหน้าลดผลกระทบผู้ใช้เหล็กหลังราคาพุ่ง

.เตรียมปรับขึ้นค่าเคโครงการรัฐให้สอดคล้องต้นทุน 

.อ้อนผู้ค้าอย่าเพิ่งขึ้นราคาขายหรือขายตามราคาต้นทุน 

.จับคู่ผู้ผลิต-ผู้ใช้เจรจาซื้อขายตรงไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง

นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังการประชุมแก้ไขผลกระทบจากราคาเหล็กที่สูงขึ้น ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมผู้ผลิตเหล็ก 7 แห่ง ว่า ที่ประชุมมีมติร่วมกันให้พิจารณาทบทวนค่าตัวเลขดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของค่างาน (ค่าเค) ของงานโครงการภาครัฐใหม่ หลังจากขณะนี้ ราคาเหล็กปรับตัวสูงขึ้นมาก จนกระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการกลุ่มก่อสร้างขนาดใหญ่ หรือกลุ่มที่เสนองานกับหน่วยงานภาครัฐ โดยหลังจากนี้ หน่วยงานภาครัฐจะหารือร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ทั้งในด้านการสืบราคาจำหน่าย และการกำหนดค่าเคให้สอดคล้องกับต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น  

“ในการหารือพบว่า สถานการณ์การผลิตเหล็กในประเทศ มีกำลังการผลิตเพียง 30-40% ของกำลังการผลิต และอาจเพิ่มกำลังการผลิตได้เมื่อความต้องการใช้เพิ่มขึ้น จึงมั่นใจว่า ปริมาณเหล็กในประเทศจะมีใช้อย่างเพียงพอ แต่ก็พบปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการกลุ่มก่อสร้าง คือ ค่าเค ที่ปัจจุบันอาจไม่สอดคล้องกับต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง จึงจะมีหารือกัน เพื่อปรับค่าเคให้สะท้อนกับต้นทุนที่แท้จริง” 

นอกจากนี้ กรมยังได้ขอความร่วมมือให้ผู้ผลิตเหล็ก ตรึงราคาจำหน่าย และจำหน่ายในราคาที่สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง โดยกรมจะติดตามสถานการณ์ต้นทุนการนำเข้าและราคาจำหน่ายปลีกอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกัน จะจัดการเจรจาทางธุรกิจ ระหว่างสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ใช้ กับกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่เป็นตัวแทนฝั่งผู้ผลิตและจำหน่ายเหล็ก เพื่อเชื่อมโยงการซื้อขายโดยตรง ลดการผ่านคนกลาง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนลดลง  

รวมถึงมอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดติดตามดูแลการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กของร้านค้าปลีก โดยจะต้องปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายที่ชัดเจน และเข้มงวดตรวจสอบ เพื่อไม่ให้มีการฉวยขึ้นราคา โดยกรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคาจะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และกรณีจำหน่ายสินค้าแพงเกินสมควร จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ