ม.ขอนแก่นเจ๋ง! ผลิตชุด “พีเอพีอาร์” สำหรับบุคลากรแพทย์รักษาผู้ป่วยโควิด

วันที่ 28 เม.ย.2564 รศ.ดร.จีรนุช เสงี่ยมศักดิ์ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิทยาศาสตร์ พร้อมด้วย นพ.อภิชาติ โซ่เงิน อายุรแพทย์ โรคระบบทางเดินหายใจ รพ.ศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มข. ร่วมทำการทดสอบอุปกรณ์ป้องกันทางเดินหายใจแบบจ่ายอากาศบริสุทธิ์ หรือพีเอพีอาร์ (PAPR) ซึ่งคณะวิทยาศาสตร์ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มข. ได้ทำการวิจัยและประดิษฐ์ขึ้นชุดแรก จำนวน 10 ชุด สำหรับการให้บุคลากรทางการแพทย์นำไปใช้งานสำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสนาม จ.ขอนแก่น แห่งที่ 1 (หอพัก 26 มข.) อยู่ในขณะนี้

รศ.จีรนุชกล่าวว่า การปฏิบัติงานในปัจจุบันของบุคลากรทางการแพทย์นั้น ชุดพีพีอีเป็นชุดที่สามารถกรองเชื้อได้ แต่ว่าในลักษณะของการกรองอากาศที่เข้าไปให้กับผู้ที่สวมใส่นั้น จะต้องสวมใส่หน้ากาก N95 เพิ่มเข้าไป ทำให้มีความลำบากที่จะหายใจต่อการใช้งาน ทีมงานวิจัยร่วมระหว่างคณะวิทยาศาสตร์และคณะแพทยศาสตร์ มข. จึงได้ร่วมกันวิจัยและผลิตชุดดังกล่าวขึ้นมา ที่จัดเป็นชุดที่จ่ายอากาศบริสุทธิ์ที่มีความสามารถในการกรองเชื้อไวรัสได้มากกว่า 96% ในลักษณะของหมวกแรงดันบวก โดยผ้าที่ใช้ต้องเป็นผ้าร่มกันน้ำกันลม เพื่อให้ภายในสามารถจ่ายลมแรงดันบวกจากด้านหลัง และออกแบบท่อให้นำอากาศมาด้านหน้า เพื่อความสะดวกในการหายใจ และยังมีฟิลเตอร์ที่สามารถกรองไวรัสได้ ดังนั้นผู้ที่อยู่ในห้องที่มีอากาศไม่บริสุทธิ์หรือในห้องติดเชื้อ ผู้ที่สวมใส่จะหายใจได้สะดวกกว่าโดยไม่ต้องใส่หน้ากาก N95 โดยที่สามารถสวมหน้ากากที่ใช้ในทางการแพทย์แบบปกติได้

ขณะที่ นพ.อภิชาติกล่าวว่า กรณีที่มีโรคระบาดที่เราไม่มั่นใจว่าจะแพร่กระจายทางระบบทางเดินหายใจ ทุกครั้งที่มีโรคอุบัติใหม่จะต้องคิดเสมอว่าน่าจะเป็นโรคที่แพร่กระจายทางเดินหายใจ ดังนั้นผลงานวิจัยที่ร่วมกันคิดค้นขึ้นชุดนี้ จึงมีความสำคัญในทุกครั้งที่มีโรคระบาดที่เกิดขึ้น ในยุคที่เจอมา ไม่ว่าจะเป็น H5n1, H1n1, ซาร์ส จนกระทั่งมาถึงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

“โดยเฉลี่ย 10 ปีจะเจอโรคแบบนี้สักครั้ง ซึ่งชุดนี้จะมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเป็นชุดที่มีความปลอดภัยสูงสุด และทำให้ดูแลคนไข้ได้มากกว่าชุดพีพีอีโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล บุคลากรกลุ่มอื่นที่จำเป็นที่จะต้องอยู่ในห้องที่ผู้ป่วยมีการหายใจ เช่น เจ้าหน้าที่รังสีเทคนิคที่เข้าไปเอกซเรย์ปอดคนไข้หรือแม้กระทั่งแม่บ้านที่เข้าไปเก็บขยะหรือของเสียอะไรก็ตามที่ออกมาจากห้อง ถ้ามีชุดพอและเหมาะสมกับทุกฝ่ายที่จำเป็นต้องเข้าไปดูแลคนไข้ในห้องที่มีท่อช่วยหายใจกับผู้ป่วยแยกโรคดังกล่าว”