“บิ๊กตู่”ฟาดกลับ”ผู้นำฝ่ายค้าน”- เห็นว่า”คนเก่า” ดีกว่า ก็เอากลับมาให้ได้แล้วกัน

19ก.ค.2565 เมื่อเวลา11.10น. ที่รัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงในการการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 33 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาวาระด่วน คือญัตติขอเปิดการอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 จำนวน 11 คน วันแรก ตอนหนึ่งว่า วันนี้รู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสมาพบและรวมกันในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ที่มีชื่อว่าสปายะสภาสถานหมายถึงเป็นสถานที่ที่ประกอบกรรมดีในประวัติศาสตร์ชาติไทย ยามใดที่บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย พระมหากษัตริย์ทรงสร้างสถานที่เพื่อปลุกขวัญและกำลังใจไพร่ฟ้าประชาชนและหลอมรวมจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียวและรวมพลังกันฟันฝ่าอุปสรรคให้ประชาราษฎร์อยู่รอดปลอดภัย บ้านเมืองสงบสันติจับถึงทุกวันนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่จะช่วยกันขบคิดถกแถลง เพราะเป็นการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ส่วนที่เป็นฝ่ายข้างนอกก็ไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายไหนเหมือนกันที่ไปลงคะแนนลงมติข้างนอก ตนไม่เคยได้ยิน แบบนี้ไม่อยู่ในระบบบริหารราชการแผ่นดิน 

“วันนี้มีปัญหามากมาย ที่ตั้งโจทย์หัวข้อมาหรืออาจจะฟังไม่หมดฟังไม่เข้าใจ เพราะอาจจะใช้อวัยวะข้างเดียวฟัง ไม่ได้ฟังสองข้าง ถ้าฝ่ายค้านพูดมาผมก็ขอพูดบ้าง เพราะค่อนข้างจะพูดรุนแรงอยู่เหมือนกัน ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องละทิ้งฐิถิ อคติ ผลประโยชน์ส่วนตัวไว้ข้างหลังและยึดถึงประโยชน์ของส่วนรวมคนในชาติเป็นที่ตั้งถ้าเรามีความรักสามัคคีกันไม่ขัดแย้งกันปัญหาทุกอย่างแก้ได้หมดถ้ามีความเข้าใจซึ่งกันและกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว  

นายกฯ กล่าวถึง การแก้ปัญหาโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาว่า ได้รับการชื่มชมในสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการ และสามารถเปิดประเทศได้อย่างยั่งยืน ทำให้มีรายได้เข้าประเทศมากขึ้น ระบบเศรษฐกิจก็ดีขึ้น ซึ่งการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีนี้ มีนักท่องเที่ยวแล้ว 2.2 ล้านคน และโครงการไทยเที่ยวไทย 6.8 ล้านคน มีเงินหมุนเวียนในระบบ 4.3 แสนล้านบาท นี้คือผลงานรัฐบาล ซึ่งการอภิปรายครั้งนี้ก็เหมือนทุกครั้งที่ตนเองและรัฐมนตรี ได้ยินมาหลายครั้งและพูดแต่เรื่องเดิมๆ แต่ก็พร้อมชี้แจงในทุกประเด็น

“นายกฯไม่ใช่คนที่รู้ทุกเรื่อง ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง ไม่ได้ฉลาดที่สุด เหมือนบางคนที่ท่านบอกฉลาดที่สุด อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้” นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ตนไม่ใช่คนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งหรือวิกฤตต่างๆ ขอให้ย้อนกลับไปดูพฤติกรรม ย้อนกลับไปดูความผิด และคนที่ติดคุก ยืนยันว่าตนไม่ได้ต้องการให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย อย่างไรก็ตาม เมื่อตนเข้ามาบริหารประเทศก็ต้องการผลิกโฉมประเทศไทย ทั้งการประกาศวิสัยทัศน์ของประเทศไทย มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ผลักดันยุทธ์ศาสตร์ชาติ 20 ปี และนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และส่งเสริม 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย พร้อมทั้งชี้แจงว่า ที่เคยบอกว่า 2 ปีไม่ใช่ต้องการขออยู่ในตำแหน่ง แต่หมายถึง นโยบายต่างๆที่วางไว้จะเริ่มเห็นผลออกมา 

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า สำหรับการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือใช้ทหารมาทำงาน หากมีความจำเป็นก็ต้องดำเนินการ ส่วนกลไกในสมช.ก็มีรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่รับผิดชอบอยู่ในคณะกรรมการทั้งหมด และไปตรวจสอบดูว่า มีทหารอยู่กี่คนในคณะกรรมการชุดที่ตั้งขึ้นมา ซึ่งสมช.มีหน้าที่ดูแลความมั่นคง และภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ทุกๆเรื่อง และมีหน้าที่ในการกำหนดยุทธศาสตร์ 

คุณบริหารไม่เป็นเอง คุณไม่ใช้เพราะคุณไม่ไว้ใจเขา ทุกวันนี้ถ้าไม่มีทหารหรือตำรวจดูแล จะนั่งอยู่ตรงนี้ได้หรือไม่ ขณะที่ข้อกล่าวหาเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ สินค้าราคาแพง จนทั้งแผ่นดิน ทุกคนทราบดีว่าสาเหตุเกิดจากอะไร และอยากให้ฝ่ายค้านเสนอแนวทางแก้ปัญหา ซึ่งรัฐบาลแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน หนี้ครู หนี้กยศ. รัฐบาลในอดีตเคยทำหรือไม่ 

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดถึง 55 ล้านบัญชี ซึ่งไม่ใช่เป็นการซื้อเสียง แต่เป็นการช่วยผู้ที่มีปัญหาให้อยู่รอดได้ และพัฒนาไปสู่ความพอเพียงและยั่งยืนได้ รวมถึงดูแลผู้ป่วยโควิดและวัคซีนต่างๆ ใช้วงเงินไปแล้ว 1.5 แสนล้านบาท

“สรุปแล้วที่ท่านพูดมาทั้งหมดไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด และไม่มีข้อมูลที่ถูกต้อง ผมจำเป็นต้องพูดตรงนี้ เพราะท่านว่าผม ทำอะไรไม่สำเร็จสักเรื่อง ผมจำเป็นต้องชี้แจงและขอให้บรรยากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ท่านแรงมาผมก็พยายามแรงน้อยกว่าท่าน เพราะผมรู้อยู่แล้วว่า ท่านต้องการให้ผมโมโห ให้เกียรติกันดูที่คำพูด ถ้าอยากได้รับเกียรติจากคนอื่น ก็ต้องให้เกียรติคนอื่น ถ้าโจมตีลักษณะให้ร้าย พูดจาส่อเสียด ดูแล้วไม่ใช่สุภาพบุรุษ ผมไม่อยากฟังในสภานี้ แต่ผมให้เกียรติสภา

ผมไม่ได้พูดว่าตัวเองเก่งที่สุด ท่านเป็นหมอฉลาดกว่าผม แต่โชคดีที่ผมไม่ไปรักษากับท่าน และผมก็ทราบดีว่าท่านชื่นชมคนที่ทำงานมาก่อนดีกว่าผม ไม่เป็นไร ก็เอากลับมาให้ได้แล้วกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว