บอร์ดบีโอไอเคาะยุทธศาสตร์ ดันไทยสู่ฐานผลิตชั้นนำระดับโลก

บีโอไอเร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนเชิงรุก 4 ปี (พ.ศ. 2567 – 2570) ขานรับรัฐบาลใหม่ ดึงลงทุน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ

  • ตั้งศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศในไทย 
  • เตรียมออกมาตรการชุดใหม่ 
  • ผลักดันไทยสู่ฐานการผลิตชั้นนำระดับโลก  

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มีนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ เป็นประธานบอร์ดบีโอไอ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนเชิงรุกในระยะ 4 ปีข้างหน้า (ปี2567 – 2570) โดยให้ความสำคัญกับ 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ที่จะผลักดันประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่ ได้แก่ อุตสาหกรรมกลุ่ม BCG (โดยเฉพาะเกษตร อาหาร การแพทย์ และพลังงานสะอาด) อุตสาหกรรมยานยนต์ (โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (โดยเฉพาะต้นน้ำและอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ) อุตสาหกรรมดิจิทัลและสร้างสรรค์ และการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ บีโอไอจะมุ่งขับเคลื่อน 5 วาระสำคัญเพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลก ที่มุ่งตอบโจทย์กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ได้แก่ 1. การเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Transformation) 2. การพัฒนาขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี (Technology Development) 3. การพัฒนาและดึงดูดบุคลากรทักษะสูง (Talent Development & Attraction)  4.การส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบคลัสเตอร์ (Cluster-based Investment) และ 5. การอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน (Ease of Investment)

นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ

“บีโอไอจะทยอยออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่ เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนของประเทศให้บรรลุเป้าหมายการเป็นฐานผลิตของอุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลก และตอบโจทย์ 5 วาระสำคัญเพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ เช่น การออกมาตรการสนับสนุนการจัดการด้านคาร์บอนเครดิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการรายเดิมเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ มาตรการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยและนวัตกรรมของรัฐหรือที่ดำเนินการร่วมกับรัฐไปผลิตต่อยอดในเชิงพาณิชย์  มาตรการส่งเสริมการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและการจ้างงานในภูมิภาคเพื่อกระจายการลงทุนไปสู่พื้นที่ทั่วประเทศ เป็นต้น”

นายนฤตม์  กล่าวว่า ในช่วง 2 – 3 ปีจากนี้ เป็นช่วงที่มีความสำคัญต่อการลงทุนทั่วโลก เพราะมีการปรับโครงสร้างซัพพลายเชนครั้งใหญ่ และเกิดการย้ายฐานการลงทุนมุ่งหน้ามาสู่ภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น ถือเป็นโอกาสทองของ ประเทศไทย เนื่องจากมีความโดดเด่น ด้วยจุดแข็งที่อยู่ใจกลางอาเซียน มีโครงสร้างพื้นฐาน ระบบคมนาคมขนส่ง รวมถึงบุคลากรที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ ไทยถือเป็นประเทศที่มีซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมสำคัญที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบกับรัฐบาลให้ความสำคัญในการผลักดันการลงทุนอย่างมาก เพราะเป็นเครื่องยนต์สำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน การเสนอยุทธศาสตร์เชิงรุกในครั้งนี้ บีโอไอจะร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อสร้างมาตรการใหม่ ๆ และพัฒนาระบบนิเวศ เพื่อยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลกอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป