ธปท.เร่งออก 3แนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน

  • เผยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีไตรมาสแรกปีนี้ทยอยลดลง
  • ประเมินว่าหนี้เสียอาจทยอยปรับขึ้นบ้าง
  • จากกลุ่มเปราะบางที่รายได้น้อย หรือรายได้ยังไม่ฟื้นตัว

น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงสถานการณ์หนี้ครัวเรือนว่า ล่าสุด สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) ช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 ทยอยลดลงจากที่เร่งตัวสูงในช่วงโควิด โดยอยู่ที่ 16 ล้านล้านบาท คิดเป็น 90.6% ต่อจีดีพี แต่เพิ่มขึ้นจากหนี้ครัวเรือน ในไตรมาส 4 ปี 2565 อยู่ที่ 91.4% เนื่องจาก ธปท.มีการปรับข้อมูลชุดใหม่ให้ครอบคลุมผู้ให้กู้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่หนี้ที่เพิ่งเกิดใหม่ เช่น หนี้กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เป็นต้น

ขณะที่จำนวนบัญชี และยอดหนี้ของสินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 90 วัน จากผลกระทบของโควิด ล่าสุดได้ทยอยปรับลดลงจากจุดสูงสุดเมื่อเดือนต.ค.2565 แล้ว จากการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยจำนวนบัญชีของลูกหนี้ นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2563 จนถึงสิ้นมี.ค.2566 อยู่ที่ 4.4 ล้านบัญชี จากก่อหน้านี้ที่ 4.7 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้ของสินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 90 วัน อยู่ที่ประมาณ 310,000 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้ที่ 410,000 ล้านบาท

“หนี้ครัวเรือนทั้งหมดไม่ได้น่ากังวล หากเป็นการนำไปใช้เพื่อสิ่งจำเป็น หรือเพื่อการประกอบอาชีพ แต่หนี้ครัวเรือนที่น่ากังวลคือ หนี้ในกลุ่มสินเชื่อบุคคล ซึ่งไม่ได้นำไปใช้ในสิ่งที่จำเป็น หรือไม่ได้นำไปใช้ในการประกอบอาชีพ รวมทั้งหนี้ของกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้” น.ส.สุวรรณีกล่าว

ทั้งนี้ ในระยะต่อไป ธปท.ประเมินว่าหนี้เสีย (NPL) อาจทยอยปรับขึ้นบ้าง จากกลุ่มเปราะบางที่รายได้น้อย หรือรายได้ยังไม่ฟื้นตัว แต่จะไม่เห็นหนี้เสียที่เพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด และเป็นระดับที่สถาบันการเงินสามารถบริหารจัดการได้ สอดคล้องกับมุมมองของ Rating Agencies ต่อภาคธนาคารไทยที่ยังมั่นคง อีกทั้งการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยจะทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ปรับดีขึ้น โดยหนี้กลุ่มเปราะบางที่อาจเสื่อมคุณภาพลง ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย มีภาระหนี้สูง และกลุ่มที่ไม่มีรายได้ประจำ ซึ่งเคยได้รับความช่วยเหลือแล้ว แต่ยังกลับมาชำระหนี้ไม่ได้

น.ส.สุวรรณี กล่าวว่า ธปท. จะเร่งออกแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ซึ่งต้องทำอย่างครบวงจร ถูกหลักการ และร่วมมือกับทุกภาคส่วน โดยแนวทางดังกล่าวจะครอบคลุมตลอดวงจรหนี้ ตั้งแต่การก่อหนี้ใหม่ที่มีคุณภาพ การดูแลหนี้เดิมโดยเฉพาะ NPL และหนี้เรื้อรัง รวมถึงช่วยให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อในระบบ โดยแนวทางที่ ธปท. จะดำเนินการ คือ

1. เกณฑ์ Responsible Lending (RL) ที่กำหนดให้เจ้าหนี้ให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมตลอดวงจรหนี้ ตั้งแต่ก่อนเป็นหนี้-ระหว่างเป็นหนี้-หนี้มีปัญหา จนถึงการขายหนี้ โดยลูกหนี้ต้องได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสม ทันเวลา มีคุณภาพ และเพียงพอ มีแนวทางการดูแลลูกหนี้ที่เป็นหนี้เรื้อรัง ให้เห็นทางปิดจบหนี้ได้

2. กลไก Risk-based pricing (RBP) เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ และช่วยให้ลูกหนี้จ่ายอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยง และได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม โดยหลักการสำคัญ คือ ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ ควรได้รับดอกเบี้ยที่ต่ำลง และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อในระบบสำหรับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง

3. มาตรการ Macroprudential Policy (MAPP) ให้เจ้าหนี้ให้สินเชื่อสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ และลูกหนี้มีเงินเหลือพอดำรงชีพ ไม่นำไปสูงการก่อหนี้สินเกินตัว เช่น การคุมหนี้ไม่ให้อยู่ในระดับสูงเกินไปเมื่อเทียบกับรายได้ในแต่ละเดือน (DSR)