ทอท.ร่ายยาวชี้แจงมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบกาในสนามบินเพิ่มเติมหวั่นเข้าใจผิดไปกันใหญ่

  • ย้ำคำนึงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
  • นโยบายคือทอท.-ผู้ประกอบการทุกรายต้องผ่านวิกฤต Covid-19 นี้ไปด้วยกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) หรือ ทอท.ว่า จากกรณีที่มีกระแสข่าวกรณีมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการของ  ทอท.กรณี บริษัท คิง เพาเวอร์ ที่มีการบิดเบือนไปในลักษณะที่ทําให้ประชาชนเข้าใจได้ว่า มาตรการดังกล่าวเป็นภาระต่อภาษีประชาชน และเป็นการเอื้อประโยชน์กับผู้ประกอบการใดเป็นการเฉพาะโดยมิได้คํานึงถึงองค์รวม หรือผลประโยชน์แก่ประเทศ ขอชี้แจงหลักการและสาระสําคัญของมาตรการเยียวยาของ ทอท. ดังนี้ (1) หลักการดําเนินนโยบายของ ทอท. คือ ทอท. และผู้ประกอบการทุกรายต้องผ่านวิกฤต Covid-19 นี้ไป ด้วยกัน โดยคํานึงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยเฉพาะอันอาจเกิดจากการเลิกจ้างงานควบคู่ ด้วยเป็นสําคัญเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจนว่าปัญหาวิกฤต Covid-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและแผ่เป็นวงกว้าง ทั้งในด้านทางเศรษฐกิจและสังคม โดยนอกจาก ทอท. ในฐานะผู้บริหารสนามบินหลักของประเทศจะได้รับผลกระทบ โดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ผู้ประกอบการ ทั้งผู้ประกอบการสายการบิน และผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์ทั้งรายเล็ก และรายใหญ่ รวมพนักงานและลูกจ้างเกือบแสนชีวิต ก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน 

ซึ่งสําหรับสัญญา เชิงพาณิชย์ของ ทอท. นั้น ได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการบอกเลิกสัญญาได้ตามเหตุผลที่สมควร โดยต้องมีการแจ้ง ล่วงหน้า 45-90 วัน โดยแม้สัญญาจะเปิดโอกาสให้มีการบอกเลิกสัญญาได้ แต่ ทอท. ก็มิพึงประสงค์ให้มีการปิดกิจการ เพราะนอกจากจะส่งผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลต่อปัญหาสังคมที่เกิดจากการเลิกจ้างงานอีกด้วย ซึ่งการ บรรเทาผลกระทบฯ นี้ อาจทําให้รายได้ของ ทอท. ลดลง แต่มิใช่รายจ่ายที่ ทอท. ต้องจ่ายออกไปหรือการนําภาษีจาก ประชาชนมาจ่ายให้ผู้ประกอบการแต่อย่างใด

(2) การช่วยเหลือผู้ประกอบการสายการบินและผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์ได้ดําเนินการเป็นการทั่วไป โดยมุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการฯ สามารถประคับประคองกิจการให้คงอยู่ต่อไปได้ตามความเหมาะสมของโครงสร้างต้นทุน (Cost Structure) ของแต่ละกลุ่มผู้ประกอบการ สําหรับการช่วยเหลือสายการบิน ทอท. ได้มีการเลื่อนการชําระค่าเช่าพื้นที่ ค่าบริการการใช้บริการในอาคาร ค่าบริการสนามบิน (Landing and Parking Charges) และค่าเครื่องอํานวยความสะดวก (Aircraft Service Charges) เพื่อช่วยเหลือด้านสภาพคล่องของสายการบิน อีกทั้งยกเว้นการเก็บค่า Parking Charges สําหรับสายการบินที่หยุดทําการบิน และลดค่าเช่าพื้นที่ ค่าบริการการใช้บริการในอาคาร ค่าบริการสนามบิน (Landing and Parking Charges) 50% สําหรับสายการบินที่ยังคงทําการบิน ตั้งแต่เดือนเมษายน – ธันวาคม 2563

สําหรับการ ช่วยเหลือผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์ ทอท. ได้ยกเว้นการเรียกเก็บผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ตั้งแต่วันที่ 1 กมุ ภาพันธ์ 2563 – 31 มนี าคม 2565 (โดยยังคงเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนอัตราร้อยละ) และเลื่อนการชําระ ค่าผลประโยชน์ตอบแทน ค่าเช่าพื้นที่ ค่าบริการการใช้บริการในอาคาร เพื่อช่วยเหลือด้านสภาพคล่อง รวมถึงยกเว้นการ เก็บค่าเช่าพื้นที่และค่าบริการการใช้บริการในอาคาร สําหรับผู้ประกอบการที่ขอหยุดกิจการชั่วคราว และลดค่าเช่าพื้นที่ ค่าบริการการใช้บริการในอาคาร 50%

ส่วนผู้ประกอบการที่ยังคงประกอบกิจการ ตั้งแต่เดือน เมษายน – ธันวาคม 2563 และเมื่อเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเริ่มคลี่คลายหลังจากนั้นแล้ว ทอท.จะเรียกเก็บผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ําในอัตรา เท่ากับช่วงก่อนวิกฤต (ในระดับเดียวกับปี 2562) และจะปรับขึ้นตามสัญญาเมื่อจํานวนผู้โดยสารเริ่มปรับตัวมากกว่าช่วง ก่อนวิกฤต ซึ่งมติบอร์ด ทอท. ที่ออกไปก่อนหน้า (วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 และวันที่ 22 เมษายน 2563) เป็นการ เยียวยาช่วยเหลือผู้ประกอบการทั้งผู้ประกอบการสายการบินและผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์เป็นการทั่วไป เพื่อให้ ผู้ประกอบการสามารถยังคงสามารถดําเนินกิจการอยู่ต่อไปได้ และไม่เกิดการเลิกจ้างงาน อันจะส่งผลกระทบอย่าง ร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมการบินและประเทศชาติโดยรวม และจะกลับมากระทบต่อมูลค่าหลักทรัพย์ของ ทอท. มากกว่า การปรับตัวลดลงของราคาหลักทรัพย์ในระยะสั้นเป็นอย่างมาก

(3) กรณีสัมปทานของบริษัท คิงพาวเวอร์ฯ (บริษัทฯ) นั้น ได้รับมาตรการช่วยเหลือดังเช่นผู้ประกอบการ เชิงพาณิชย์รายย่อยทั่วไปกว่า 1,000 สัญญา โดยมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างตามสถานะของสัญญา 2 ประการ ด้วยเหตุผลดังนี้(3.1) ขยายระยะเวลาเตรียมการเพิ่มอีก 1 ปี ให้สอดคล้องกับการเปิดใช้งานอาคารเทียบเครื่องบินรองหลัง ที่ 1 (SAT-1) : เดิมสัญญาได้กําหนดไว้ให้บริษัทฯ มีระยะเวลาเตรียมการตกแต่งพื้นที่ 6 เดือน โดยในช่วงเตรียมการนี้ ทอท. จะเรียกเก็บอัตราค่าตอบแทนตามสัญญาโดยแปรผันตามจํานวนพื้นที่ที่เปิดให้บริการ และหลังจากนั้น จะเรียกเก็บ ค่าตอบแทนตามพื้นที่เต็มจํานวนตามสัญญาเป็นระยะเวลา 10 ปี แต่หากเนื่องจากสถานการณ์ Covid-19 ทําให้ทาง ทอท. ไม่สามารถเปิดดําเนินการในอาคาร SAT-1 ได้ตามเป้าหมายที่ปรากฏในสัญญา โดยคาดว่าจะเลื่อนการเปิดให้บริการจาก เดิม 1 เมษายน 2564 เป็นวันที่ 1 เมษายน 2565 บอร์ด ทอท. จึงจําเป็นต้องมีมติให้มีการขยายระยะเวลาเตรียมการ จากเดิม 6 เดือน ออกไปอีก 1 ปี เป็น 1 ปี 6 เดือน อันเป็นผลให้มีการปรับอายุสัญญาเพื่อให้สอดคล้องกับการเปิดใช้ งานอาคาร SAT-1

(3.2) ปรับจํานวนผู้โดยสารในการคํานวนค่าตอบแทนขั้นต่ําให้สอดคล้องกับความเป็นจริง : เนื่องจาก ผลกระทบจากวิกฤต Covid-19 ส่งผลให้รัฐบาลต้องมีมาตรการจํากัดการเปิดน่านฟ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทําให้การ เดินทางทางอากาศมีปริมาณน้อยลง ทอท. จึงเห็นชอบที่จะใช้จํานวนผู้โดยสารจริงในการคํานวณอัตราค่าตอบแทนขั้น ต่ํา โดยยังคงอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ํา และอัตราส่วนแบ่งรายได้เดิมตามสัญญาไว้ทุกประการ โดยค่าตอบแทนขั้นต่ํานี้จะ ถูกปรับขึ้นทันทีในปีถัดไปตามอัตราการขยายตัวของผู้โดยสารและเงินเฟ้อ โดยไม่ต้องรอให้ผู้โดยสารกลับมาในระดับ ก่อนวิกฤตดังเช่นผู้ประกอบการรายอื่นแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ได้ถูกออกแบบโดยยึดถือผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นและผลประโยชน์ของประเทศเป็นสําคัญ กล่าวคือ ในส่วนของผลประโยชน์ผู้ถือหุ้น (1) เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการงดเว้นการเรียกค่าตอบแทนขั้นต่ําในวันที่ 31 มีนาคม 2565 แล้ว หากบริษัทฯ จะต้องจ่ายค่าตอบแทนขั้นต่ําตามสัญญาเดิมในปี 2562 ดังเช่นมาตรการที่ ผู้ประกอบการรายอื่นได้รับ ก็จะทําให้ ทอท. ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนน้อยกว่าทางเลือกที่ให้ปรับจํานวนผู้โดยสารให้ เป็นไปตามจริงนี้อยู่ราว  50% 

ทั้งนี้หากจํานวนผู้โดยสารฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ก็จะทําให้ ทอท. ได้รับค่าตอบแทน กลับสู่ภาวะเดิมหรือมากกว่าโดยอัตโนมัติ (2) มาตรการปิดน่านฟ้าเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ของ รัฐบาล อันส่งผลให้จํานวนผู้โดยสารต่างประเทศลดลงกว่า  99 %นั้น เป็นเหตุผลสําคัญประการหนึ่งที่ทําให้บริษัทฯ สามารถใช้สิทธิขอยกเลิกสัญญาได้โดยไม่มีค่าปรับ ซึ่ง ทอท. คาดว่าหากมีการเปิดประมูลใหม่ในภาวะการณ์เช่นนี้ นอกจาก ทอท. จะต้องยอมรับแล้วว่าผู้โดยสารลดลงอย่างมีนัยยะตามตัวเลขที่ปรากฏอยู่จริง ทอท. ยังมีความสุ่มเสี่ยง อย่างมากที่จะไม่มีผู้ประกอบการรายใดเสนอผลตอบแทนต่อหัวอยู่ในอัตราที่สูงดังผลการประมูลครั้งก่อน อันจะทําให้ เกิดความเสียหายต่อผลตอบแทนที่ ทอท. คาดว่าจะได้รับอย่างมหาศาล ในส่วนของผลประโยชน์ของประเทศ (1) หากไม่มีการปิดน่านฟ้าเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดฯ อันเป็นผลให้ จํานวนผู้โดยสารฯ ลดลงแล้ว จะเกิดความเสียหายกับประเทศโดยรวมอย่างตีมูลค่ามิได้

นอกจากนั้นหาก ทอท. ปล่อยให้มีการ ยกเลิกสัญญา ไม่ว่าจะเป็นสัญญาของผู้ประกอบการขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ จะกระทบต่อการจ้างงานจํานวนมาก ทั้งนี้ ทอท. ขอยืนยันว่า บทความ วิเคราะห์-วิจารณ์ ที่มีเผยแพร่อยู่ในปัจจุบันหลายบทความ ได้ทําการวิเคราะห์-วิจารณ์ อยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะในประเด็นการวิเคราะห์-วิจารณ์ในด้านการสูญเสียรายได้ของ ทอท. ให้กับ ผู้ประกอบการรายใหญ่แต่เพียงด้านเดียว โดยไม่ได้ครอบคลุมถึงมาตรการฯ ที่ทาง ทอท. ให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย ด้วยอย่างเท่าเทียมกัน และยังไม่ได้คํานึงถึงโอกาส ทางเลือกที่ผู้ประกอบการสามารถบอกเลิกสัญญา หรือผลกระทบต่อ รายได้ ทอท. จากการถูกบอกเลิกสัญญา และผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ โดยเฉพาะสภาวะ การจ้างงานดังที่ได้กล่าวข้างต้น 

ซึ่งในการนี้ บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ออกบทวิเคราะห์ดังกล่าวได้เข้า พบ กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ ทอท. เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 เพื่อรับทราบข้อมูลที่ครบถ้วนและเข้าใจเหตุผลใน ทุกๆ ด้าน โดยทางผู้ออกบทวิเคราะห์ฯ ได้ตกลงจะออกบทวิเคราะห์ที่เป็นกลางและครอบคลุมถึงข้อมูลมิติต่างๆ ที่ได้รับ เพิ่มเติมเพื่อไม่ให้สาธารณชนเกิดความสับสนและเข้าใจผิดต่อไป