ทนทรมานฝุ่นพิษไปถึง17 ธ.ค.เหตุฝุ่นหนา-สภาพอากาศกดทับ-คนใช้ รถเยอะ


วันนี้ (15 ธ.ค.) เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ว่า กรมควบคุมมลพิษรายงานว่าช่วงนี้จนถึงช่วงวันที่ 17 ธ.ค. มีการกดทับของสภาพอากาศแทบจะไม่มีลมจึงทำให้เกิดสถานการณ์ฝุ่นสะสมในกทม. โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญมากและได้มีมาตรการต่างๆออกมา ทั้งการประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอให้จังหวัดเขตปริมณฑลงดการเผาผลผลิตทางการเกษตรช่วง 2-3 วันนี้ และประสานกระทรวงคมนาคมกวดขันตรวจสอบรถที่ผลิตค่าไอเสียเกินมาตรฐานกำหนด โดยเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทางกรมควบคุมมลพิษร่วมกับกรมการขนส่งทางบกได้ออกตรวจ พบว่ามีรถที่ค่าไอเสียเกินมาตรฐานปริมาณ 25-30 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณรถที่ตรวจได้ ส่วนใหญ่มาจากรถรับจ้างส่วนบุคคลที่เป็นรถกระบะไม่ได้รับการดูแลสภาพเครื่องยนต์

นอกจากนี้ทางผู้ว่าฯกทม.ได้ออกมาตรการต่างๆ เช่น ไม่ให้รถบรรทุกเข้ามาเขต กทม.ชั้นในด้วย อย่างไรก็ตาม ปัญหา PM 2.5 ตนพูดตั้งแต่ต้นปีว่าเป็นปริมาณที่เราผลิตอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ลดลง แต่สภาพที่มีหมอกควันและฝุ่นควันสะสมนั้นส่วนหนึ่งมาจากสภาพอากาศที่เกิดขึ้น ดังนั้นต้องขอความเห็นจากประชาชนว่ามาตรการหรือนโยบายแบบใดที่ประชาชนสามารถรับได้ และเห็นด้วยกับการที่รัฐบาลจะดำเนินการ เพราะบางมาตรการเมื่อออกมาแล้วได้รับการคัดค้าน และมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชนอย่างแน่นอน

ทั้งนี้หากย้อนกลับไปช่วงต้นปี ประมาณเดือนก.พ.- มี.ค. สภาพอากาศไม่ได้แตกต่างจากนี้ แต่ PM 2.5 อยู่ในคุณภาพดี เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงการล็อกดาวน์ประเทศ ทำให้มีปริมาณรถและเครื่องยนต์ที่ผลิตไอเสียบนถนนแทบจะไม่มี แต่วันนี้ปริมาณยานพาหนะบนท้องถนน ทั้งรถสาธารณะ รถยนต์ส่วนบุคคลเต็มบนท้องถนนเช่นนี้คงไม่สามารถแก้ไขปัญหา PM 2.5 ได้ อย่างไรก็ตามในช่วงนี้ขอให้ประชาชนระมัดระวังสุขภาพ สวมใส่หน้ากากเมื่อเดินทางออกจากบ้าน และตรวจเช็กสภาพอากาศจากกรมควบคุมมลพิษและกรมอุตุนิยมวิทยา

เมื่อถามว่า นอกจาก 12 มาตรการที่แก้ปัญหา PM 2.5 ที่รัฐบาลออกมาก่อนหน้านี้แล้ว จะมีการออกมาตรการเพิ่มเติมอะไรอีกหรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า คงจะต้องมีมาตรการเพิ่มเติมขึ้นมา แต่มาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลออกมาต้องกระทบกับชีวิตประชาชน จึงต้องมีการพูดคุยกันว่าสิ่งใดที่ประชาชนรับได้และสิ่งใดที่อยากให้ช่วยเยียวยา