“ตระบัดสัตย์” กับราคาที่ต้องจ่ายถึงขั้นล้มละลายของ “เพื่อไทย”

  • จาก“รัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย” สู่ “รัฐบาลพิเศษ”
  • การรีแบรนด์พรรคที่ว่าไว้ก่อนหน้านี้ จะยากขึ้นเป็นทวีคูณ
  • เมื่อ “ยี้”เกิดขึ้นแล้ว จะตั้งอยู่ และดับไปได้ยาก

นับตั้งแต่วันที่พรรคเพื่อไทย ประกาศฉีกเอ็มโอยู ขาดสะบั้นทั้ง 2 ฉบับ ที่ฉบับหนึ่งทำกับ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล 312 เสียง อีกฉบับ ทำไว้กับข้าวต้มมัด “ก้าวไกล”

จากนั้น ภาพของการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจับมือกับพรรคภูมิใจไทย และพรรคอื่นๆตามมาเป็นขบวนรถไฟ

“เพื่อไทย”พลิกลิ้น จากการจัดตั้ง “รัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย” ประกาศใหม่ชัดเจนว่า จะเป็น “รัฐบาลพิเศษ” สลายขั้ว ขจัดความขัดแย้งในสังคม สร้างสังคมปรองดอง  ไม่มีคำว่า “ลุง” อีกต่อไป เปิดทางอ้าซ่ารอรับพรรค 2 ลุง เข้าร่วมรัฐบาล

แต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะง่ายอย่างที่คิด พรรคเพื่อไทยประกาศดังๆว่า จะไม่มีการต่อรองเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรี ให้โหวตนายกรัฐมนตรี โดยยืนยันชัดเจนมาตลอดว่าเป็น “เศรษฐา  ทวีสิน” เสร็จเรียบร้อยแบบรอบเดียวผ่านฉลุย แล้วค่อยมาคุยเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล

พร้อมประกาศด้วยว่า พรรคที่ยกมือโหวตนายกรัฐมนตรีให้พรรคเพื่อไทย ก็ใช่ว่าทุกพรรคจะได้ร่วมรัฐบาล แต่ลืมไปว่าพรรคเพื่อไทยมีแค่ 141 เสียง

ละครฉากต่อมาที่ “เพื่อไทย” หวังเป็นผู้กำกับ คุมเกม คิดว่าร่วมมือกับภูมิใจไทยแล้วทุกอย่างจะง่ายขึ้น แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพื่อผู้ร่วมแสดงอย่าง “ภูมิใจไทย” ตามมาด้วย “ชาติไทยพัฒนา” รวมทั้งสดๆร้อนๆ “รวมไทยรักษาชาติ” ออกมาฟาดงวงฟาดงา ให้สัมภาษณ์ดังๆว่า จะต้องคุยเรื่องโควตารัฐมนตรีให้เสร็จเรียบร้อยก่อนโหวตนายกรัฐมนตรี

การ “กลืนเลือด” ของ “เพื่อไทย” ครั้งนี้ นอกจากคุมเกมไม่อยู่ ยังเสียท่า ต้องเปลี่ยนสถานะจาก “ผู้กำกับ” ไปเป็น “ตัวประกอบ” ที่ถูกชี้นิ้วให้ทำตามเงื่อนไขที่พรรคขั้วใหม่แต่กลุ่มอำนาจเก่าต้องการ เลือดที่กลืนไม่ใช่เลือดธรรมดาแต่เป็น “เลือดพิษ” ที่ค่อยๆทำลายความแข็งแรง อำนาจต่อรองให้ลดลงไปเรื่อยๆ จ่ายแล้วจ่ายอีกจนแทบไม่เหลืออะไร ยิ่งพรรคเพื่อไทยไม่ได้คุมกระทรวงสำคัญที่จะผลักดันนโยบายออกมาได้ ยิ่งไม่สามารถทำตามข้ออ้างที่ว่าจะทำให้ประเทศเดินหน้า แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาความยากจนจะได้รับการแก้ไข เพราะในวงที่เพื่อไทยโดดเข้าไปร่วมนั่นคือรัฐบาลชุดเก่าเกือบทั้งแท่ง “การเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ย่อมเป็นไปได้ยาก

ที่สำคัญ การเปิดกว้างให้พรรค 2 ลุงเข้ามา โดยอ้างว่าเพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้ ปัญหาของประเทศรอไม่ได้ ประชาชนเดือดร้อน ดูจะไม่มีใครฟัง และไม่สามารถกู้ภาพ หรือชดเชยราคาที่ต้องจ่ายของพรรคเพื่อไทยได้แม้แต่น้อย

ภาพของพรรคที่ตระบัดสัตย์ ทั้งจากการหาเสียง “ไม่เอา 2 ลุง” “ไล่หนูตีงูเห่า” ยาวมาถึงการฉีกเอ็มโอยู จะมีเครดิตอะไรให้น่าเชื่อถืออีกต่อไป ไปร่วมมือกับใครก็ไม่มีใครเชื่อ เปลี่ยนขั้วร่วมวงกันจัดตั้งรัฐบาลก็แค่มี “ผลประโยชน์” ร่วมกัน และผลประโยชน์นั้น “ฉัน” ซึ่งหมายถึงพรรคต่างๆ ต้องได้มากที่สุด เต็มเม็ดเต็มหน่วย  และจะต้องถูกผูกมัด สัญญาที่ชัดเจน ล็อกไว้ให้บิดพริ้วไม่ได้

การตราหน้าที่ “เพื่อไทย” จะต้องเจอก็คือ ขนาดเอ็มโอยูคุณยังฉีกมาแล้ว จะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่ตระบัดสัตย์อีก นี่คือ สิ่งที่ “เด็กเลี้ยงแกะ” จะต้องเผชิญและเป็นราคาที่ต้องจ่ายอย่างไม่รู้จบสิ้น

การรีแบรนด์พรรคที่ว่าไว้ก่อนหน้านี้ จะยากขึ้นเป็นทวีคูณ แค่สส.เขตกลับพื้นที่ไปพบประชาชน จะมีหน้าไปตอบคำถามชาวบ้านได้อย่างไร การลบภาพทางการเมืองที่ถูกตีตรา  ตอกหน้าผาก ไว้แล้ว เป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด เมื่อ “ยี้”เกิดขึ้นแล้ว จะตั้งอยู่ และดับไปได้ยาก ไปถามนักการเมืองเก่าๆดูได้ ว่าประชาชนเคยลืมเหล่าภาพนั้นออกจากใจได้หรือไม่

คนชายขอบ