

- ซีพีเอฟ เดินหน้ามาตรการ Seal ฟาร์มเลี้ยงสัตว์
- ดูแลสุขภาพพนักงานลดความเสี่ยง
- เพื่อสร้างหลักประกันความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารแก่ผู้บริโภค
นายสมพร เจิมพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟให้ความสำคัญกับมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันโรคอย่างเข้มงวดมาโดยตลอด โดยฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของบริษัททุกแห่งมีการซีล (Seal) ให้บุคลากรทำงานที่ฟาร์มพักอาศัยอยู่ภายในฟาร์ม งดการออกนอกพื้นที่ เพื่อการป้องกันและควบคุมความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคในสัตว์อย่างต่อเนื่อง และเมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มาตรการที่ดำเนินการอย่างเข้มข้นอยู่แล้ว ได้ถูกยกระดับการป้องกันสูงสุดทั้งโรคในสุกรและบุคลากร โดยเฉพาะระบบไบโอซีเคียวริตี้ (Biosecurity) ที่เป็นกุญแจสำคัญสำหรับการป้องกันโรคต่างๆ ที่ซีพีเอฟปฏิบัติมาโดยตลอด ช่วยให้การป้องกันโรคมีประสิทธิภาพสูง ควบคู่กับการอบรมและให้ความรู้แก่พนักงาน และเกษตรกรในโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสุกร หรือคอนแทรคฟาร์ม อย่างต่อเนื่อง
“ซีพีเอฟ ถ่ายทอดเทคนิค วิธีการ และมาตรการป้องกันโรคในสุกร และโควิด-19 แก่เกษตรกรคอนแทรคฟาร์มกับบริษัทมาโดยตลอด ทั้งการแบ่งปันองค์ความรู้ในกลุ่มเกษตรกร การเข้าตรวจเยี่ยมฟาร์ม และการอบรมผ่านออนไลน์ ทำให้เกษตรกรมีพื้นฐานความรู้และวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง สามารถนำไปปรับใช้ในฟาร์มของตนเอง ช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจ ทำให้เดินหน้าอาชีพได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมสนับสนุนให้เกษตรกรทำ Seal ให้บุคลากรพักอาศัยอยู่ภายในบริเวณฟาร์ม โดยยังคงได้รับการดูแลความเป็นอยู่และอาหารการกินที่เหมาะสม ตลอดจนใช้กล้องวงจรปิดซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยลดความเสี่ยงการนำโรคต่างๆเข้าไปสู่ฝูงสัตว์ โดยคนไม่จำเป็นต้องเข้าไปในโรงเรือน เพราะสามารถมอนิเตอร์ผ่านกล้องได้ทุกที่ทุกเวลา ถือเป็นการสร้างความปลอดภัยในอาหาร และเป็นหลักประกันความมั่นคงทางอาหารให้กับผู้บริโภค” นายสมพรกล่าว
ด้าน นายสมคิด วรรณลุกขี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจไก่ไข่ ซีพีเอฟ กล่าวว่า นอกจากระบบไบโอซีเคียวริตี้ที่เข้มงวดขึ้นในทุกๆฟาร์ม เพื่อเป็นการป้องกันโรคสัตว์ปีกต่างๆ ที่ทำควบคู่กับการซีลพนักงานในฟาร์มและห้ามบุคคลภายนอกเข้าฟาร์มโดยเด็ดขาดแล้ว บุคลากรทุกคนให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 โดยเน้นเรื่องสุขอนามัยส่วนบุคคล การปฏิบัติตามแนวทางการเว้นระยะห่าง การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และหมั่นล้างมือ ซึ่งถือเป็นวิถีใหม่ (new normal) ที่ทุกคนถือปฏิบัติ จนกลายเป็นชีวิตประจำวันไปแล้ว ขณะเดียวกัน ยังมีการปรับกิจกรรมการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาทิ การประชุมเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มงาน ซึ่งจัดในสถานที่โล่งแจ้ง การรับประทานอาหารแบบเว้นระยะห่างและใช้ภาชนะส่วนตัว รับประทานเฉพาะอาหารปรุงสุกเท่านั้น และเน้นการทำความสะอาดในจุดสัมผัสร่วมให้บ่อยครั้งขึ้น

“ซีพีเอฟ ยังคงเน้นมาตรการป้องกันสูงสุดอย่างเคร่งครัด มีการประยุกต์ใช้มาตรการป้องกันโรคต่างๆ อย่างเหมาะสม พร้อมให้ความรู้และรณรงค์การป้องกันโรค ทั้งแก่บุคลากรของบริษัทและเกษตรกรคอนแทรคฟาร์มอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรคที่ดี จึงมีความพร้อมในการปฏิบัติงานและสามารถป้องกันตนเองจากโรคโควิด-19 เพื่อสนับสนุนการผลิตอาหารปลอดภัยตลอดห่วงโซ่การผลิต ทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤตเช่นนี้” นายสมคิด กล่าว./
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคโควิด-19 ในประเทศไทย ยังคงพบผู้ป่วยติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มการติดเชื้อ ที่เพิ่มสูงขึ้น เฉพาะกลุ่มเด็กและวัยรุ่นอายุ 12 -18 ปี พบติดเชื้อรายใหม่ ในสัปดาห์ แรกเดือนสิงหาคม จำนวน 7,787 คน และมีจำนวนการติดเชื้อรายใหม่ในสัปดาห์ที่ 2 เพิ่มขึ้นเป็น 8,733 คน คิดเป็นร้อยละ 12 ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวกลุ่มวัยเรียนวัยรุ่น จึงเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น ซึ่งล่าสุดราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยมีคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคโควิด-19 ในจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยยังไม่แนะนำสำหรับเด็กทั่วไป ที่แข็งแรงดีจนกว่าจะมีวัคซีนที่มากขึ้น แต่มุ่งเน้นกลุ่มผู้ป่วยเด็กที่มีโรคประจําตัวที่มีความเสี่ยงของโรคโควิด-19 ที่รุนแรง ได้แก่ โรคอ้วน โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ โรคเบาหวาน และกลุ่มโรคพันธุกรรมรวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง เด็กที่มีพัฒนาการช้า
ทั้งนี้จากข้อมูลทะเบียนราษฎร์ประเทศไทยมีเด็กและวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี จำนวน 5,196,248 คน พบติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่ 1 เมษายน–14 สิงหาคม 2564 จำนวน 41,832 คน คิดเป็นร้อยละ 0.8 ในจำนวนนี้เสียชีวิต 8 คน ซึ่งทุกคนเป็นกลุ่มเด็กป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น พิการทางสมอง มะเร็ง และหัวใจ เป็นต้น ดังนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครองที่ดูแลเด็กและวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี ที่เป็น 7 กลุ่มโรคเสี่ยง และมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่าย สามารถให้เด็กเข้ารับบริการฉีดวัคซีนตามที่ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยแนะนำได้ เป็นวัคซีนชนิด mRNA และที่มีใช้ในประเทศไทยในขณะนี้ คือ วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของ Pfizer-BioNTech โดยก่อนไปรับบริการให้สอบถามและประสานนัดหมายกับสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลที่ประกาศให้บริการในพื้นที่นั้น ๆ
สำหรับการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโควิด-19 ของกลุ่มเด็กวัยเรียน วัยรุ่น ยังคงต้องยึดตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ดังนี้ 1) เว้นระยะห่างทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน และจำกัดการเดินทางเท่าที่จำเป็น และไม่ไปในที่ที่มีคนหนาแน่น เมื่อกลับถึงบ้านควรอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที 2) สวมหน้ากากตลอดเวลา ยกเว้นเฉพาะเวลากินอาหาร และไม่กินอาหารร่วมกัน พร้อมทั้งงดการรวมกลุ่มกับเพื่อน เปลี่ยนเป็นการติดต่อผ่านโทรศัพท์ หรือผ่านระบบออนไลน์แทน 3) หมั่นล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อย ๆ และ 4) ประเมินความเสี่ยงตนเองผ่าน “ไทยเซฟไทย” ทุกวัน หากพบมีความเสี่ยงสูงให้แจ้งผู้ปกครองทันที