ดาวโจนส์ร่วงกว่า 100 จุด วิตกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าช้า-หุ้น ราคาแพง


.นักลงทุนเริ่มชะลอการซื้อ หลังราคาหุ้นเริ่มแพงกว่าปัจจัยพื้นฐาน-หวั่นซ้ำรอยฟองสบู่ดอทคอม
.ตลาดกังวลประธานาธิบดีโจ ไบเดนอาจจะต้องปรับลดวงเงินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
. แอปเปิล, ไมโครซอฟท์, โบอิ้ง, เน็ตฟลิกซ์ เทสลา จ่อประกาศผลประกอบการในสัปดาห์นี้

เมื่อเวลา 21.50 น. ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 30,803.77 จุด ลดลง 193.21 จุด หรือ -0.62% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 13,705.66 จุด เพิ่มขึ้น 162.59 จุด หรือ +1.20% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 3,849.50 จุด เพิ่มขึ้น 8.03 จุด หรือ +0.21%

นักลงทุนวิตกความล่าช้าของมาตรการกระตุ้นเศษฐกิจ โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนอาจจะต้องปรับลดวงเงินในมาตรการลงพื่อให้สามารถผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรส โดยสมาชิกสภาคองเกรสหลายรายทั้งจากพรรครีพับลิกันและเดโมแครตต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ และตั้งข้อสงสัยถึงความจำเป็นของการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์

ความล่าช้าในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในสหรัฐ และการที่หุ้นเริ่มมีราคาแพงกว่าปัจจัยพื้นฐาน หลังจากพุ่งขึ้นขานรับการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของนายโจ ไบเดนก่อนหน้านี้ เป็นอีกปัจจัยที่กดดันดัชนี โดยขณะนี้ค่า Forward P/E Ratio ของดัชนี S&P 500 อยู่ใกล้ระดับสูงสุดในช่วงเกิดฟองสบู่ดอทคอมในปี 2543

ตลาดติดตามการประกาศผลประกอบการ โดยบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ได้แก่ แอปเปิล, ไมโครซอฟท์, โบอิ้ง, เน็ตฟลิกซ์ และเทสลา จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลผลประกอบการในไตรมาส 4/63 แล้ว มีจำนวน 73% จะมีตัวเลขรายได้และกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

ตลาดยังจับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะจัดการประชุมในวันที่ 26-27 ม.ค. โดยนักวิเคราะห์คาดว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.00-0.25% โดยตลาดจับตาการกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟด และการยังคงจำนวนซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในวงเงิน 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือนหรือไม่ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ