ดาวโจนส์บวกถล่มทลายกว่า 670 จุด คาด“ไบเดน”ชนะเลือกตั้ง


.นักวิเคราะห์ประเมิน “ไบเดน”ชนะมีผลดีต่อตลาดหุ้น
.คาดพรรคเดโมแครตคุมทุกสภา ช่วยให้ออกมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจง่ายขึ้น
.นักลงทุนซื้อหุ้นเก็งกำไรล่วงหน้า หวังเศรษฐกิจฟื้น

เมื่อเวลา 22.20 น.ตามเวลาประเทศไทย ตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนไหวบวกถล่มทลาย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ทะลุ 27,000 จุด โดยเคลื่อนไหวที่ 27,604.76 จุด บวก 679.71 จุด หรือ +2.52% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 11,189.73 จุด เพิ่มขึ้น 232.12 จุด หรือ +2.12% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 3,385.66 จุด เพิ่มขึ้น 75.42 จุด หรือ +2.28%

ตลาดคาดการณ์ว่า นายโจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต จะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ และพรรคเดโมแครตจะสามารถครองเสียงข้างมากอย่างเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรสทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่า หากเกิดกรณี Blue Wave ดังกล่าวเกิดขึ้น จะส่งผลดีที่สุดต่อตลาดหุ้น เพราะการครองเสียงข้างมากอย่างเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรส ก็จะส่งผลให้พรรคเดโมแครตสามารถขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐได้อย่างราบรื่น หลังจากที่ถูกขัดขวางในสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

“หากไบเดนชนะขาด และเดโมแครตครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร นี่จะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับตลาดหุ้น โดยจะเปิดทางให้สหรัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยเยียวยาเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19” นายลุคแมน โอทูนูกา นักวิเคราะห์อาวุโสจาก FXTM กล่าว

“แต่ถ้าหากไบเดนชนะ และรีพับลิกันยังคงครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ก็จะลดโอกาสที่สหรัฐจะสามารถออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และจะไม่ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจโลกมากนัก ส่วนในกรณีที่ปธน.ทรัมป์คว้าชัยชนะ และดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ก็จะส่งผลกระทบต่อแผนการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การที่สหรัฐยังคงมีการสานต่อนโยบายก็จะช่วยหนุนตลาดหุ้นในระยะกลาง” นายโอทูนูกากล่าว

นายพอล แซนฮู นักวิเคราะห์จากบีเอ็นพี พาริบาส์ กล่าวว่า ความเชื่อมั่นในตลาดได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า นายไบเดนจะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง ซึ่งจะช่วยผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ โดยที่ผ่านมา พรรคเดโมแครตเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่พรรครีพับลิกันเสนอวงเงินเพียง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ในการออกมาตรการเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตามองคะแนนเสียงจากผู้ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ และคะแนนเสียงจาก Swing State หรือ Battleground State ซึ่งเป็นรัฐที่ไม่ใช่ฐานเสียงของทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน อาจเป็นปัจจัยชี้ขาดผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้งนี้ สหรัฐเป็นประเทศขนาดใหญ่ และใช้โซนเวลาแตกต่างกัน จึงทำให้แต่ละรัฐมีเวลาเปิดหีบและปิดหีบเลือกตั้งไม่เหมือนกัน โดยรัฐจอร์เจีย อินเดียนา เคนตั๊กกี เซาท์แคโรไลนา เวอร์มอนท์ และเวอร์จิเนีย เป็นรัฐกลุ่มแรกที่ปิดหีบเลือกตั้ง และเริ่มนับคะแนนเร็วที่สุดของสหรัฐ โดยตรงกับพรุ่งนี้เช้าเวลา 07.00 น.ตามเวลาไทย

ขณะที่ 6 รัฐที่อยู่ในกลุ่ม Swing State ได้แก่ แอริโซนา ฟลอริดา มิชิแกน นอร์ทแคโรไลนา เพนซิลเวเนีย และวิสคอนซิน โดยทั้ง 6 รัฐดังกล่าวมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Votes) รวมกันมากถึง 101 เสียง ซึ่งผู้ที่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งไม่ต่ำกว่า 270 เสียง จากทั้งหมด 538 เสียง

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 4-5 พ.ย. หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเพียงวันเดียว และการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์