ดาวโจนส์ดีดขึ้นกว่า 400 จุด ขานรับผลประกอบการบริษัทสดใส

  • นักลงทุนกลับมาซื้อหุ้นคึกคัก เก็งกำไรผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาดี
  • ตลาดจับตารายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ของเฟดรอดูทิศทางดอกเบี้ย
  • IMF ลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2565 เหลือ 3.6%

เมื่อเวลาประมาณ 22.15 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์เคลื่อนไหวที่ระดับ 34,815.08 จุด เพิ่มขึ้น
403.39 จุด หรือ +1.17% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 13,565.60 จุด เพิ่มขึ้น 233.24 จุด หรือ +1.75% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500เคลื่อนไหวที่ระดับ 4,446.93 จุด เพิ่มขึ้น 55.24 จุด หรือ +1.26%

มีแรงซื้อหุ้นกลับมาหนาแน่น โดยนักลงทุนส่วนหนึ่งเก็งกำไรผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน หลังบริษัทที่ออกมาแล้วผลประกอบการดีกว่าคาด โดยราคาหุ้นของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) พุ่งขึ้นแรงทันที หลังบริษัทเปิดเผยว่ามีกำไรในไตรมาสแรกสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยนักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทเน็ตฟลิกซ์และไอบีเอ็ม ซึ่งจะมีการเปิดเผยหลังจากปิดตลาดวันนี้

อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงถูกกดดันจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 2.91% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2561 ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ขณะที่ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอาจทำให้บริษัทต่างๆ เผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุนอีกด้วย

นักลงทุนจับตารายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ของเฟดที่จะมีการเปิดเผยในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด

ขณะที่ในภาพรวมเศรษฐกิจโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2565 และ 2566 โดยระบุว่า การที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครนจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจโลก และเป็นปัจจัยกดดันต่อราคา และถือความท้าทายต่อการดำเนินนโยบายอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ IMF เปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ในวันนี้ โดยคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 3.6% ทั้งในปี 2565 และ 2566 โดยลดลงจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือนม.ค.ที่ระบุว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 4.4% ในปี 2565 และ 3.8% ในปี 2566

นอกจากนี้ IMF คาดการณ์ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจะลดลงสู่ระดับ 3.3% ในระยะกลาง เมื่อเทียบกับ 4.1% ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2547-2556 และระดับ 6.1% ในปี 2564

ขณะเดียวกัน IMF เตือนว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครนจะผลักดันให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้น โดยเงินเฟ้อในสหรัฐจะแตะระดับ 7.7% ในปีนี้ ขณะที่ยูโรโซนจะแตะระดับ 5.3% ส่วนเงินเฟ้อในตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาจะพุ่งแตะระดับ 8.7%