ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 60 จุด หวังคลายล็อก ดาวน์ฟื้นเศรษฐกิจ

  • ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดีดตัวขึ้นในเดือน พ.ค.
  • ยอดค้าปลีกทรุดตัวลง 16.4% ในเดือนเม.ย.ทุบสถิติต่ำสุด
  • นักลงทุนกังวลความขัดแย้งการค้าจีน-สหรัฐเพิ่มขึ้น

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที 15 พ.ค.ที่ 23,685.42 จุด เพิ่มขึ้น 60.08 จุด หรือ +0.25%, ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 2,863.70 จุด เพิ่มขึ้น 11.20 จุด หรือ +0.39% ส่วนดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 9,014.56 จุด เพิ่มขึ้น 70.84 จุด หรือ +0.79%

อย่างไรก็ตาม ในรอบสัปดาห์นี้ หุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มการเงินปรับตัวลง

นักลงทุนคาดหวังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เพื่อเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง จะช่วยลดผลกระทบจาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ลงได้

โดยผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดีดตัวสู่ระดับ 73.7 ในเดือนพ.ค. จากระดับ 71.8 ในเดือนเม.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 65.0

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนกังวลความจัดแย้งทางการค้าที่จะเพิ่มมากขึ้น หลังรัฐบาลสหรัฐดำเนินการสกัดกั้นการส่งออกชิปทั่วโลกให้กับบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยีของจีน เพิ่มความวิตกว่า จีนจะดำเนินมาตรการตอบโต้สหรัฐ โดยจีนระบุว่าจะขึ้นบัญชีดำบริษัทของสหรัฐว่าเป็นบริษัทที่ไม่น่าเชื่อถือ

หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (เอเอ็มดี) ลดลง 0.57% และหุ้นอินเทล ลดลง 1.35%

นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกทรุดตัวลง 16.4% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการดิ่งลงหนักที่สุดนับตั้งแต่ที่รัฐบาลเริ่มมีการเก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าวตั้งแต่ปี 2535 และย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะร่วงลง 12.3% หลังจากลดลง 8.3% ในเดือนมี.ค.

รวมทั้งข้อมูลของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐดิ่งลง 11.2% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงหนักที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลดังกล่าวเมื่อ 101 ปีก่อน หลังจากร่วงลง 5.4% ในเดือนมี.ค.

โดยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจทั่วโลกที่หยุดชะงักลงจากการที่รัฐบาลออกมาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19