ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นต่อหลังตัวเลขขอสวัสดิการว่างงาน ต่ำกว่า 2 ล้านคนเป็นครั้งแรก

  • ตลาดคาดตลาดแรงงานได้ผ่านพ้นจุดต่ำที่สุดที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 แล้ว
  • นักลงทุนมีความหวังเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัว หลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
  • รอติดตาม แนวโน้มดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินเฟด สัปดาห์หน้า

เมื่อเวลา 21.30 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ 26,356.11 จุด บวกเพิ่มขึ้น
86.22 จุด หรือ +0.33% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 9,715.37 จุด บวก 32.46 จุด หรือ +0.34%
ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 3,128.69 จุด บวกเพิ่มขึ้น 5.82 จุด หรือ +0.19%

ตลาดหุ้นขานรับตัวเลขเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง หลังเริ่มมีมาตรการคลายล็อกดาวน์และปิดให้กิจการดำเนินการตามปกติโดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจำนวน 1.877 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยลดลงต่ำกว่าระดับ 2 ล้านรายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กลางเดือนมี.ค.ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐได้ผ่านพ้นจุดต่ำที่สุดแล้ว

สำหรับจำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 23 พ.ค. เพิ่มขึ้น 649,000 ราย สู่ระดับ 21.5 ล้านราย

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนชะลอการซื้อหุ้นลงบ้างหลังเมื่อวานนี้ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นแรง โดยจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันพรุ่งนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะลดลง 8.33 ล้านตำแหน่ง และคาดว่าอัตราการว่างงานจะพุ่งขึ้นสู่ระดับ 19.5%

สำหรับปัจจัยต่างประเทศ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ0% ในการประชุมวันนี้ แต่ได้เพิ่มวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามโครงการฉุกเฉินอีก 6 แสนล้านยูโร เพื่อเยียวยาเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า เศรษฐกิจยูโรโซนมีแนวโน้มหดตัวลง 8.7% ในปีนี้ โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ของประเทศต่างๆในยุโรปเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

อย่างไรก็ดี นางลาการ์ดคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจยูโรโซนจะขยายตัว 5.2% ในปี 2564 และ 3.3% ในปี 2565 แม้ว่ายังคงมีความเสี่ยงในช่วงขาลง

ขณะที่นักลงทุนสหรัฐ รอการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า โดยจะจับตามุมมองของเฟดต่อเศรษฐกิจสหรัฐ รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ย