ดัชนีดาวโจนส์ปรับฐานรอข่าวใหม่ๆ ปรับลดลง 267จุด

.กลุ่มค้าปลีกขนาดใหญ่ประกาศผลประกอบการดีเกินคาด นักลงทุนขายหุ้นกลุ่มสื่อสาร-พลังงาน
.ตลาดจับตาจับตารายงานการประชุมนโยบายการเงินเฟดพุธนี้
.ผิดหวังตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านดิ่งลงแรง 9.5%ในเดือน เม.ย.

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 18 พ.ค.ที่ 34,060.66 จุด ลดลง 267.13 จุด หรือ -0.78% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 4,127.83 จุด ลดลง 35.46 จุด หรือ -0.85% และดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 13,303.64 จุด ลดลง 75.41 จุด หรือ -0.56%

ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มสื่อสาร โดยหุ้น AT&T ดิ่งลง 5.8% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในบรรดาหุ้นที่คำนวณในดัชนี S&P500 หลังจาก AT&T ประกาศแผนปรับลดการจ่ายเงินปันผล อันเนื่องมาจากการที่บริษัททำข้อตกลงควบรวมกิจการของ WarnerMedia เข้ากับ Discovery เพื่อแข่งขันกับบริษัทเน็ตฟลิกซ์ และดิสนีย์ อิงค์ ซึ่งเป็นคู่แข่งในตลาด

ทั้งนี้ การร่วงลงของหุ้น AT&T ได้ฉุดหุ้นบริษัทสื่อสารรายอื่นๆดิ่งลงด้วย ซึ่งรวมถึงหุ้น T-Mobile ร่วงลง 3.71% และหุ้นเวอไรซอน คอมมูนิเคชันส์ ดิ่งลง 1.31%

ขณพที่หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ หลังมีข่าวว่าอิหร่านอาจกลับมาส่งออกน้ำมันอีกครั้งเนื่องจากการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์กับสหรัฐมีความคืบหน้า โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 2.83% หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 3.01% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ลดลง 1.73% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 2.06%

หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลงเช่นกัน นำโดยหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดิ่งลง 2.17% หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ร่วงลง 1.37% หุ้น 3M ลดลง 1.05% หุ้นฮันนีเวลล์ ร่วงลง 1.83%

หุ้นโฮม ดีโปท์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่สุดของสหรัฐ ร่วงลง 1.02% หลังกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านร่วงลงในเดือนเม.ย. ซึ่งได้บดบังผลประกอบการที่สดใสของโฮม ดีโปท์ โดยบริษัทมีกำไร 3.86 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 1 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.08 ดอลลาร์/หุ้น

โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านดิ่งลง 9.5% ในเดือนเม.ย. สู่ระดับ 1.569 ล้านยูนิต และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.710 ล้านยูนิต โดยได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาไม้ และวัสดุอื่นๆในการสร้างบ้าน

ทั้งนี้ ผลประกอบการหุ้นกลุ่มค้าปลีกออกมาดีกว่าคาด หุ้นวอลมาร์ท ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งขึ้น 2.17% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 1 ที่ระดับ 1.69 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.21 ดอลลาร์/หุ้น โดยได้ปัจจัยหนุนจากยอดขายผ่านระบบออนไลน์ และจากการที่ผู้บริโภคทำการใช้จ่ายมากขึ้น หลังได้รับเช็คเงินสดจากมาตรการเยียวยาผลกระทบของโรคโควิด-19

หุ้นเมซีส์ อิงค์ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ปรับตัวลง 0.37% แม้บริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไรในไตรมาส 1 ที่ 32 เซนต์/หุ้น สวนทางกับการขาดทุน 11.53 ดอลลาร์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

นักลงทุนจับตารายงานการประชุมนโยบายการเงินของเฟดประจำวันที่ 27-28 เม.ย.ซึ่งจะมีการเผยแพร่ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังมีการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกินคาด

นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ด้วย เพื่อจับทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต