“จุรินทร์” ลั่น ปชป.ไม่สูญพันธุ์ เชื่อ กทม.ขาขึ้นคนต้อนรับ หลังส่ง “ดร.เอ้”ลงชิง

  • ฟุ้งไอเดีย “ครม.กรุงเทพฯ” บริหารมินิไทยแลนด์
  • ตั้งกรรมการบริหารเชื่อมปริมณฑล
  • ลั่นต่อไปต้องเป็น “เกรทเตอร์แบงค็อก”

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 13 มีนาคม ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้จัดงาน “The 2 Leaders’ Visions วิสัยทัศน์ ของสองผู้นำ ”โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ปชป. และนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่า กทม. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค ดูแล กทม. นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย รวมถึงนักธุรกิจและตัวแทนภาคเอกชนเข้าร่วมรับฟังการแสดงวิสัยทัศน์และร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย

โดยนายจุรินทร์กล่าวเปิดงานว่า วันนี้ตนคงไม่มาแสดงวิสัยทัศน์ผู้นำประเทศ เพราะยังมีอีกหลายเวทีและจากนี้ก็คงจะต้องพูดถึงเรื่องทิศทางที่จะพาประเทศเดินไปข้างหน้าที่จะจัดงานหาทุนให้กับพรรค ปชป.ในการนำกรุงเทพฯไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น เพื่อพี่น้องชาวกรุงเทพฯ หลังการเลือกตั้งปี 2562 ก่อนที่ตนจะเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรค กรุงเทพฯไม่ได้รับการเลือกตั้ง ส.ส.แม้แต่คนเดียว และไม่ใช่ความผิดใครทั้งสิ้น แต่พรรคก็ผ่านจุดนี้มาหลายครั้งเราเคยรุ่งเรืองในกรุงเทพฯ และได้รับการเลือกตั้งเยอะ เกือบจะเรียกว่า ยกกรุงเทพฯ หรือคนเดียวก็มี แต่ครั้งล่าสุดไม่มี ส.ส.เลย จึงมีคนปรามาสว่าพรรค ปชป.คงจะสูญพันธุ์แล้ว ขอเรียนว่าไม่สูญพันธุ์ จากนี้ไปจะเดินขึ้นและชาวกรุงเทพฯจะต้อนรับคนพรรค ปชป.อีกครั้งหนึ่งต่อไปในอนาคต

นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า พรรค ปชป.และชาวกรุงเทพฯผูกพันกันมายาวนาน นับตั้งแต่ก่อตั้งพรรค คนกรุงเทพฯมีส่วนสำคัญในการก่อตั้งพรรค ฉะนั้นกรุงเทพฯกับคน ปชป.จึงผูกพันกันมาเนิ่นนาน แต่พอการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.กำลังจะเข้ามา มีคนตั้งคำถามว่าแล้วพรรค ปชป.จะส่งผู้สมัครแข่งขันหรือไม่ ตนขอเรียนว่าในฐานะหัวหน้าพรรค ตนเป็นคนเดียวที่ชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าพรรคจะต้องส่งผู้สมัคร ไม่ส่งไม่ได้ เพราะเราคู่กันกับชาวกรุงเทพฯและคนกรุงเทพฯเลือกเรามาต่อเนื่องและยาวนาน เราต้องรับผิดชอบคนกรุงเทพฯ การไม่ส่งผู้ว่าฯกรุงเทพฯ และ ส.ก.คือการตัดทางเลือกของคนกรุงเทพฯ ตรงนี้จึงเป็นที่มาของการส่งผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. รวมถึงผู้สมัคร ส.ก.อีก 50 เขต ซึ่งได้มีการประกาศตัวไปแล้ว

นายจุรินทร์กล่าวว่า วันนี้ตนมี 3 เรื่อง คือ 1.นายสุชัชวีร์​ไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามผู้สมัครอิสระแต่ลงสมัครในนามพรรค ปชป. เพราะฉะนั้นหมายความว่าในการเลือกตั้งรณรงค์หาเสียง รวมทั้งหากได้รับการเลือกตั้งอย่างน้อยที่สุด นายสุชัชวีร์ ไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังมีหลังพิงสำคัญที่จะคอยทำงานร่วมกับนายสุชัชวีร์ คือพรรค ปชป. และการลงสมัครครั้งนี้ นายสุชัชชวีร์ไม่ได้รับผิดชอบเฉพาะคนกรุงเทพฯ แต่ต้องรับผิดชอบพรรคปชป.ด้วย นี่คือความแตกต่างของผู้สมัครในนามอิสระและผู้สมัครที่ลงในนามพรรคการเมือง

2.ผู้ว่าฯกทม.ของพรรคนับตั้งแต่นี้ต่อไปจะต้องไม่คิดเพียงแค่บริหารเมืองหลวงของประเทศ แต่ต้องบริหารหน่วยปกครองท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ แต่จะต้องคิดไปไกลกว่านั้นว่าภารกิจของคนเป็นผู้ว่าฯกทม.จะต้องบริหารมินิไทยแลนด์ เพราะกรุงเทพฯคือศูนย์รวมหลายอย่างของประเทศไทย ทั้งประชากรที่มีจำนวนมากกว่าจังหวัดอื่นๆ ในประเทศ นอกจากนี้ มีปัญหาหลายเรื่องที่ผู้ว่าฯกทม.จะต้องจัดการ ทั้งด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ที่จีดีพีของกรุงเทพขึ้นอยู่กับการค้า 87% อันดับสองอุตสาหกรรม 13% และเกษตร 7% ลมหายของกรุงเทพฯอยู่ที่การค้า แต่เมื่อลงลึกพบว่าคนกรุงเทพฯตัวจริงมีรายได้ไม่ถึง 1 แสนบาทต่อปี ที่ต้องรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมากกว่า 5 แสนคน จึงเป็นโจทย์สำคัญของผู้ว่าฯกทม.ที่ต้องเข้าไปแก้ไข

และ 3.นวัตกรรมใหม่ในการบริหารกรุงเทพฯ ยุคนายสุชัชวีร์ ถัดจากนี้ต่อไป ต้องเกิดขึ้น 3 นวัตกรรมในการบริหารกรุงเทพฯ 1.คณะรัฐมนตรี (ครม.) กรุงเทพฯจะต้องเกิดขึ้นในการบริหารมินิไทยแลนด์ รัฐมนตรีเศรษฐกิจ กทม.ต้องเกิดขึ้น เพื่อรับผิดชอบเศรษฐกิจของชาวกรุงเทพฯ 2.ต้องมี กรอ.กรุงเทพฯ เพื่อเป็นเวทีให้กรุงเทพฯ และ ครม.กรุงเทพฯ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจร่วมกับภาคเอกชน และ 3.ต้องไม่มองแค่กรุงเทพฯ คือกรุงเทพฯ เพราะกรุงเทพฯเชื่อมต่อเหมือนเป็นเนื้อเดียวกับปริมณฑล

“ผู้ว่าฯกทม.นอกเหนือจากทำงานร่วมกับรัฐบาล และรัฐวิสาหกิจแล้ว จะต้องทำงานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดและกลไกภาครัฐในจังหวัดปริมณฑลด้วย ทั้งการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การประปานครหลวง (กปน.) ว่าจะดำเนินการอย่างไรเพื่อไม่ให้คนเดือดร้อน โดยจะต้องมีคณะกรรมการบริหารกรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่เป็นแบงค็อก แต่ต้องเป็นเกรทเตอร์แบงค็อก ซึ่งพรรค ปชป.ต้องคิดไกลกว่าปกติ กับสิ่งที่ได้คิดและได้ทำมาในอดีต และถ้านายสุชัชวีร์ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกทม. ผมเชื่อว่า ดร.เอ้ทำได้” นายจุรินทร์กล่าว