จับตาสตาร์ทอัพไทยบินไกล ผงาดตลาดโลก



  • เร่งสมรรถภาพสตาร์ทอัพ
  • ด้วย “แหล่งเงินทุน”

นายแซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรีฟินโนเวต จำกัด กล่าวว่า จากสถิติจะพบว่าตั้งแต่ปี 2015 สตาร์ทอัพไทยแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยในปี 2020 พบการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพเติบโตกว่า 3 เท่าจากปกติ และคาดการณ์ว่าในปี 2022 จะเติบโตมากกว่าปีนี้ถึง 50% ประกอบกับการมียูนิคอร์นไทยรายแรกอย่าง Flash Express ที่สะท้อนภาพความสำเร็จ และแนวโน้มว่าสตาร์ทอัพหลายธุรกิจของไทย มีศักยภาพที่จะขยายกิจการจากในประเทศไปยังภูมิภาคได้ ตัวเลขความสำเร็จและปัจจัยบวกเหล่านี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสนับสนุนและลงทุนในเทคโนโลยีนวัตกรรมและสตาร์ทอัพทั้งในระดับประเทศและภูมิภาคจากกรุงศรี ฟินโนเวต วิเคราะห์ว่าน่าจะมาจาก 2 สาเหตุหลัก นั่นคือ

1) การตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค เนื่องจากประเทศไทยมีอัตราการใช้สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียติดอันดับต้น ๆ ของโลก จึงส่งผลดีต่อธุรกิจสตาร์ทอัพที่ให้บริการในรูปแบบ B2C หรือการส่งต่อสินค้าและบริการไปถึงผู้บริโภคโดยตรง ผู้บริโภคได้ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นจากสตาร์ทอัพนั้นได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย จึงเกิดการใช้งานแพร่หลายและใช้ซ้ำ ขณะเดียวกันสตาร์ทอัพที่ให้บริการในรูปแบบ B2B หรือมีเป้าหมายให้บริการลูกค้ากลุ่มองค์กรบริษัทต่าง ๆ ก็ยอมรับการใช้งาน Local Platform จากสตาร์ทอัพไทย และเห็นการเปลี่ยนบทบาทจาก “พนักงานบริษัท” มาเป็น “สตาร์ทอัพ” ทำโซลูชั่นตอบโจทย์องค์กรมากขึ้น

2) นักลงทุนมีความมั่นใจ เนื่องจากที่ผ่านมามีนักลงทุนสนใจในธุรกิจสตาร์ทอัพเพิ่มขึ้นหลาย 10 เท่า ทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติ อาทิ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น อินเดีย และยุโรป โดยเงินทุนที่มาจาก Venture Capital เหล่านี้ นอกจากจะสามารถนำไปใช้เพื่อต่อยอดให้กับสตาร์ทอัพได้แล้ว ยังให้ผลประโยชน์ที่น่าพึงพอใจสำหรับนักลงทุน เพราะแทนที่จะต้องใช้เงินไปวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้วยตนเอง ก็สามารถแบ่งการลงทุนมาลงในสตาร์ทอัพที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อนำเทคโนโลยีที่ได้ไปใช้กับบริษัทของตน

อีกทั้งยังเก็บเกี่ยวผลลัพธ์จากการลงทุนได้เป็นกอบเป็นกำ บวกกับการคาดการณ์ว่าในปี 2023 สตาร์ทอัพไทยจะเริ่มดำเนินการเพื่อเตรียมตัวจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้นักลงทุนในสตาร์ทอัพสามารถเข้ามาลงทุนได้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ และสามารถ Exit ขายเพื่อทำกำไรได้ จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สตาร์ทอัพไทยพร้อมทะยานสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ในขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่จากประสบการณ์การทำงานใกล้ชิดร่วมกับกับสตาร์ทอัพมากที่สุดในเอเชียอาคเนย์ ร่วมทำงานกับสตาร์ทอัพกว่า 63 ราย มากกว่า 106 โปรเจคใน 37 หน่วยงานในเครือกรุงศรี

หากให้วิเคราะห์ทั้งโอกาสและอุปสรรคแล้วมีข้อสงสัยต่อว่าแล้วสิ่งใดจะเป็น “ลมใต้ปีก” ที่จะพาสตาร์ทอัพบินสูงและไปได้ไกลขึ้นซึ่งคุณแซมเผยมุมมองที่น่าสนใจว่านักลงทุนจะเข้ามาเป็นหัวใจสำคัญในการช่วยเหลือสตาร์ทอัพเหล่านั้นในด้านหาเงินลงทุนมาเพิ่มเติมดังนั้นหากประเทศไทยมีกองทุนอย่างเป็นรูปธรรมที่สามารถที่เปิดกว้างให้นักลงทุนที่สนใจเข้ามาเป็นร่วมลงทุนได้ง่ายขึ้นจะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆทั้งยังมีส่วนกระตุ้นการเติบโตให้กับสตาร์ทอัพได้จริง

จากประสบการณ์การลงทุนมานานกว่า 10 ปีในกว่า 15 กิจการสตาร์ทอัพรวมเงินลงทุนมากกว่า 1,500 ล้านบาทของกรุงศรีฟินโนเวตพบว่านักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยมองเห็นเทรนด์ของสตาร์ทอัพจึงเกิดแอคชั่นมากมายทั้งการร่วมลงทุนในรอบแรกๆซึ่งเป็น Early stage เรียกว่า Angel Investing Round และยังพบว่านักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่จะใช้ประเมินสถานะหรือมูลค่าทางธุรกิจสตาร์ทอัพโดยตรงได้มากขึ้นซึ่งหากมีทีมงานและผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจการทำงานของสตาร์ทอัพมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการลงทุนก็จะสามารถช่วยนักลงทุนที่สนใจเลือกลงทุนในสตาร์ทอัพได้อย่างเหมาะสมสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวขณะที่สตาร์ทอัพเองก็มีโอกาสเติบโตและแข่งขันในตลาดได้