จับตาราคาน้ำตาลทรายปรับขึ้นโลละ 4 บาท

.ดันราคาขายปลีกพุ่งพรวดเป็นโลละ 28-29 บาท
.หลังต้นทุนผลิต-ราคาอ้อยพุ่งและเก็บเงินเข้ากองทุน
.หวังเอามาจ่ายช่วยเหลือชาวไร่อ้อยเกี่ยวสดไม่เผา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีแนวโน้มว่าราคาน้ำตาลทรายในประเทศ อาจปรับขึ้นราคาหน้าโรงงานประมาณกิโลกรัม (กก.) ละ 4 บาทในเร็วๆ นี้ หรือประมาณเดือนต.ค.นี้ โดยแบ่งเป็น การปรับขึ้นราคาตามต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นกก.ละ 2 บาท และการเก็บเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกก.ละ 2 บาท เพื่อนำไปจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยที่ตัดอ้อยสดส่งเข้าโรงงานน้ำตาลโดยไม่ใช้วิธีการเผา เพื่อลดฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกในประเทศต้องปรับขึ้นตาม โดยปัจจุบัน ราคาหน้าโรงงาน น้ำตาลทรายขาวธรรมดาอยู่ที่กก.ละ 19 บาท และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ กก.ละ 20 บาท ขณะที่ราคาขายปลีกในท้องตลาด น้ำตาลทรายขาวธรรมดา กก.ละ 24 บาท และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์กก.ละ 25 บาท


อย่างไรก็ตาม หากคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) มีมติให้ปรับขึ้นราคาได้อีกกก.ละ 4 บาทจริง จะมีผลให้ราคาหน้าโรงงาน น้ำตาลทรายขาวธรรมดาปรับขึ้นเป็นกก.ละ 23 บาท และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ปรับขึ้นเป็นกก.ละ 24 บาท ขณะที่ราคาขายปลีกจะปรับขึ้นไปเป็น กก.ละ 28 บาท และกก.ละ 29 บาทตามลำดับ หลังจากที่ราคาหน้าโรงงานเพิ่งปรับเพิ่มขึ้นกก.ละ 1.75 บาท เป็นกก.ละ 19 บาท และกก.ละ 20 บาทเมื่อเดือนม.ค.66 อีกทั้งยังทำให้ราคาสินค้าอื่นๆ ที่ใช้น้ำตาลทรายเป็นส่วนประกอบ ต้องปรับขึ้นราคาตาม โดยเฉพาะเครื่องดื่มชนิดต่างๆ ทั้งน้ำอัดลม น้ำผลไม้ เครื่องดื่มชูกำลัง นมและผลิตภัณฑ์ รวมถึงขนม เบเกอร์รี่ อาหาร ซึ่งจะยิ่งทำให้ภาระค่าครองชีพของคนปรับตัวสูงขึ้นอีก ขณะที่รัฐบาลพยายามลดค่าครองชีพ ลดรายจ่ายประชาชนในทุกด้าน


สำหรับความพยายามปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายในประเทศครั้งนี้ เป็นผลมาจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นมาก จากราคาอ้อยที่สูงขึ้น เพราะผลกระทบจากภัยแล้ง ที่ทำให้ผลผลิตลดลง คาดว่า การหีบอ้อยฤดูการผลิตปี 66/67 ผลผลิตอ้อยอาจเหลือเพียง 75-80 ล้านตัน หรือลดลงประมาณ 10% จากปี 65/66 รวมถึงความต้องการทำให้ราคาน้ำตาลของไทยเท่ากับราคาตลาดโลก ที่กก.ละ 27 บาท ซึ่งไม่ถูกต้อง และไม่ยุติธรรมสำหรับคนไทย เพราะไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลรายใหญ่รายหนึ่งของโลก การบริโภคน้ำตาลในราคาต่ำกว่าราคาตลาดโลก จึงสมควรแล้ว เหมือนผู้บริโภคประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ที่ซื้อน้ำมันราคาต่ำกว่าประเทศที่ไม่ได้ผลิตมาก อีกทั้งไม่จำเป็นที่คนไทยต้องแบกรับภาระราคาที่สูงขึ้นเช่นเดียวกับผู้บริโภคประเทศอื่นที่นำเข้าน้ำตาล


นอกจากนี้ การเก็บเงินเข้ากองทุนกก.ละ 2 บาท เพื่อนำไปจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยที่ตัดอ้อยสดส่งเข้าโรงงานน้ำตาลโดยไม่ใช้วิธีการเผา เพื่อลดฝุ่นพีเอ็ม 2.5 นั้นก็ถือว่าไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภคคนไทยเช่นกัน ที่จะต้องแบกรับภาระในส่วนนี้ ทั้งๆ ที่ควรเป็นหน้าที่ของรัฐบาล โรงงานน้ำตาล และภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่จะต้องแก้ปัญหา แต่กลับผลักภาระให้ประชาชน


ส่วนราคาในตลาดโลกที่สูงขึ้นมาก เป็นผลจากอินเดีย ผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดของโลก ประสบปัญหาภัยแล้ง ผลผลิตอ้อยลดลงมาก จึงประกาศห้ามส่งออกน้ำตาลดิบ น้ำตาทรายขาว และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.65-31 ต.ค.66 และล่าสุดเพิ่งประกาศขยายเวลาห้ามส่งออกต่อไปอย่างไม่มีกำหนด จึงยิ่งผลักดันให้ราคาตลาดโลกสูงขึ้น