ค่าแรงต่ำ ชีวิตแย่ ไร้เงินออม แรงงานไทยหนี้บาน

.หนี้ใน-นอกระบบรวม 2.72 แสนบาทสูงสุดรอบ 14 ปี
.ผ่อนเดือนละ 8.5 พันบาทแต่ยังดีคนเบี้ยวหนี้น้อย
.ขอขึ้นค่าแรง ดูแลหนี้ สวัสดิการ รักษาพยาบาล

นางอุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจสถานภาพแรงงานไทย กรณีศึกษาผู้มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท จาก 1,300 ตัวอย่างทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 18-24 เม.ย.66 ว่า แรงงานไทยมากถึง 99.1% ระบุมีหนี้ เพิ่มขึ้นจากปี 65 ที่มีตอบมีหนี้ 99.0% มีเพียง 0.9% ที่ระบุไม่มีหนี้ คิดเป็นมูลค่าหนี้สูงถึง 272,528 บาท เพิ่มขึ้น 25.04% เทียบกับปี 65 โดยเป็นหนี้ในระบบ 79.85 และหนี้นอกระบบ 20.2% ซึ่งหนี้ส่วนใหญ่กู้มาเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หนี้บัตรเครดิต ใช้หมุนเวียนในธุรกิจ ใช้คืนหนี้เก่า ยานพาหนะ การศึกษา เป็นต้น และมีภาระผ่อนชำระต่อเดือนเฉลี่ย 8,577 บาท โดยหนี้นอกระบบ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงถึง 15.47% ต่อเดือน ส่วนในระบบอยู่ที่ 8.76% ต่อเดือน


สำหรับสาเหตุที่ก่อหนี้เพิ่ม ส่วนใหญ่เป็นเพราะรายได้ไม่พอรายจ่าย จากค่าครองชีพสูงขึ้น ราคาสินค้าแพงขึ้น รายได้ไม่เพิ่ม ดอกเบี้ยสูงขึ้น รายได้ลดลง ตกงาน มีของต้องการซื้อเพิ่มขึ้น แม้พยายามทำอาชีพเสริม ยืมจากญาติพี่น้อง ขายทรัพย์สิน ใช้จ่ายเท่ากับรายได้ ประหยัด แต่ยังไม่เพียงพอ


อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความสามารถในชำระหนี้ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา มากถึง 70.5% ตอบไม่มีปัญหา มีเพียง 29.5% ที่มีปัญหา และในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา 58.5% ระบุไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ อีก 41.5% ผิดนัด เพราะหมุนเงินไม่ทัน ตกงาน รายได้ไม่พอรายจ่าย มีค่าใช้จ่ายหลายทาง โดยผู้ตอบเกือบ 40% ยังกังวลการตกงานปานกลางถึงมากที่สุด โดยเฉพาะแรงงานภาคบริการ ร้านอาหาร พนักงานเอกชน อีกทั้งมากถึง 73.5% ไม่มีเงินออม และ 84.1% ไม่มีอาชีพเสริม


“แรงงานตัวอย่างส่วนใหญ่ บอกว่า รายได้ในปัจจุบันส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่แย่ลง มีหนี้เพิ่มขึ้น ต้องประหยัดมากขึ้น และไม่มีความสามารถในการรักษาพยาบาล ต้องหาสถานพยาบาลฟรี ดังนั้น เห็นด้วยกับการขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำเป็น 450 บาทต่อวัน แต่หากขึ้นค่าแรงแล้วอาจทำให้ราคาสินค้าปรับสูงขึ้นอีกนั้น ก็รับไม่ได้ จึงเสนอให้นายจ้าง และรัฐบาลมีมาตรการดูแล หรือช่วยเหลือค่าครองชีพให้เหมาะสมกับผู้มีรายได้น้อย เพิ่มสวัสดิการ กระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาขยายตัว”


ส่วนกิจกรรมวันแรงงานวันที่ 1 พ.ค.66 นั้น คาดจะมูลค่าการใช้จ่าย 2,067 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.8% จากปี 65 ที่มีมูลค่า 1,525 ล้านบาท สำหรับสิ่งที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการเร่งด่วน คือ สร้างวามเท่าเที่ยวกันของคนในสังคม สร้างงานให้คนในพื้นที่ ดูแลราคาสินค้าให้สอดคล้องกับรายได้ของผู้มีรายได้น้อย การเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ดี จัดหาที่อยู่อาศัยสำหรับคนว่างงาน แก้ปัญหาทุจริตทุกระดับ


ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษา ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า มูลค่าหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 272,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.04% จากปี 65 ถือเป็นมูลค่าหนี้ที่สูงสุดในรอบ 14 หรือตั้งแต่เริ่มสำรวจมา แต่ถ้าเจาะลึกในรายละเอียด พบว่า มีการก่อหนี้เพื่อการลงทุน สร้างความมั่นคงในชีวิตเพิ่มขึ้น โดยมีสัดส่วนผู้ตอบมากถึง 14.1% จากปี 65 ที่ตอบเพียง 0.5% และยังพบอีกว่า ผู้ตอบ 20.2% มีหนี้นอกระบบ ลดลงจากปี 65 ที่อยู่ที่ 31.1% ต่ำสุดในรอบ 14 ปี ถือเป็นความสำเร็จของทางการที่ทำให้คนเข้าถึงแหล่งเงินในระบบมากขึ้น


“จากผลสำรวจ พบว่า แม้แรงงานมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้น แต่เป็นหนี้เพื่อลงทุน ซื้อที่อยู่อาศัย เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต ที่สำคัญ ส่วนใหญ่ยังมีความสามารถในการชำระหนี้ และไม่เบี้ยวหนี้ เชื่อว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนจะดีขึ้นเป็นลำดับ”


ส่วนการใช้จ่ายวันแรงงานปีนี้ อยู่ที่ 2,067 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.8% ขยายตัวสูงสุดในรอบ 14 ปี เพราะมีความมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวดีขึ้น ส่วนสำหรับสิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลดูแลแรงงาน คือ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ดูแลค่าครองชีพ หนี้สินแรงงาน ดูแลการว่างงาน เงินช่วยเหลือแรงงาน ดูแลการใช้แรงงานมากเกินขอบเขต พัฒนาฝีมือแรงงาน รับบริการรักษาพยาบาล