

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (28 ก.ย.64) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐ มาแจ้ง ภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เผยแพร่บทความ โดยมีเนื้อหาระบุว่า…
น้ำจะท่วมเหมือนปี 2554 ไหม!! เป็นคำถามที่ถูกถามมาหลายทีมากๆ ก็เลยขอเขียนอธิบายหน่อย
ถ้าพูดถึงน้ำท่วม 54 ก็จะหมายถึงน้ำท่วมขนาดใหญ่ในพื้นที่ภาคกลางที่เกิดจากน้ำฝนที่ตกหนักจากพายุ 5 ลูก ในพื้นที่ภาคเหนือ จนทำให้อ่างฯภูมิพลและอ่างฯสิริกิติ์ เต็มความจุเก็บกักไหลรวมลงมาจากลุ่มน้ำปิง วัง ยม และน่าน รวมที่ปากน้ำโพธิ์ จ.นครสวรรค์ ซึ่งจะมีสถานี C.2 เป็นสถานีวัดน้ำ ถ้าเทียบสถานการณ์ ณ วันนี้ จะพบว่า ที่สถานี C.2 อัตราการไหลอยู่ที่ 2,419 ลบ.ม./วินาที เทียบกับปี 54 อยู่ที่ 4,335 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะเห็นว่าอัตราการไหลมีแค่ร้อยละ 56 ของปี 54 เท่านั้น และอัตราการไหลเพิ่งเริ่มเพิ่มขึ้นเพียงในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเท่านั้น

วันนี้ น้ำในเขื่อนภูมิพลมีเพียง 45% ของความจุ ในเขื่อนสิริกิติ์ มีเพียง 43% ของความจุ ยังรับได้อีก 12,800 ล้านลบ.ม. ซึ่งยังรับน้ำได้อีกมาก และปีนี้ยังไงก็น่าจะไม่เต็มอ่าง
ถ้าดูจากกราฟน้ำที่ไหลผ่านสถานี C.2 ปี 2554 มีอัตราการไหลที่สูงกว่าปีนี้มาตลอดตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งปริมาตรน้ำท่า (พื้นที่ใต้กราฟ อัตราการไหล x เวลา = ปริมาตร) ที่ไหลผ่านสถานี C.2 ถึงวันที่ 27 ก.ย. ปี 54 มีปริมาตรรวม 14,172 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งมากกว่าความจุของเขื่อนภูมิพลซะอีก ขณะที่ปีนี้มีเพียง 3,920 ล้าน ลบ.ม. หรือแค่ 1 ใน 4 ของปี 54 เท่านั้น
แล้วปริมาตรสำคัญอย่างไร ปริมาตรก็เปรียบได้เหมือนมวลน้ำ (แต่คนละหน่วย) ปริมาตรก็คือ พื้นที่ x ความลึก ซึ่งถ้าปริมาตรมาก น้ำก็จะท่วมกว้าง และลึกนั่นเอง ปี 54 กราฟน้ำท่วมมีฐานกว้างมากจึงทำให้มีน้ำเติมเข้าทุ่งเจ้าพระยาอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมากและนาน จึงทำให้เกิดน้ำท่วมขนาดใหญ่ ในขณะที่ปีนี้อีกไม่นาน (คาดว่า 1-3 สัปดาห์) อัตราการไหลที่นครสวรรค์จะคงที่และเริ่มลดลงเนื่องจากฝนจะลดลงในช่วงอาทิตย์ข้างหน้า ทำให้มีน้ำเติมลงมาน้อยกว่าเดิมนั่นเอง
สำหรับน้ำที่ไหลลงมาตอนนี้ เกือบ 2,500 ลบ.ม./วินที ในวันนี้ ส่วนใหญ่จะระบายผ่านเขื่อนเจ้าพระยาลงแม่น้ำเจ้าพระยาด้านท้ายน้ำ และทุกคนรู้ว่าคอขวดการไหลอยู่ที่อยุธยาซึ่งรับน้ำได้ประมาณ 1,200 ลบ.ม./วินาที หลายคนจะบอกว่าน้ำลงมา 2,500 อยุธยารับได้ 1,200 อย่างนี้ท่วมแน่ๆ แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น แม่น้ำเจ้าพระยาท้ายเขื่อนชัยนาท จะมีคลองลพบุรีและคลองบางแก้วรับน้ำออกทางฝั่งซ้าย และมีคลองโผงเผงและคลองบางบาลรับน้ำออกทางฝั่งขวา รวมความสามารถ 818 ลบ.ม./วินาที แต่ด้วยสภาพพื้นที่ลุ่มต่ำแถวๆ บางบาล ทำให้มีน้ำท่วมขังเปรียบเสมือนแก้มลิงธรรมชาติก่อนที่จะไหลลงมาที่อยุธยา และน้ำจากคลองต่างๆ เหล่านี้รวมกับแม่น้ำป่าสัก จะไหลลงมารวมกับแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณด้านใต้ของอยุธยา ซึ่งแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่บางไทรลงมา จะสามารถรับน้ำได้ถึง 3,500 ลบ.ม./วินาที
ดังนั้น น้ำที่ลงมาในปีนี้จนถึงวันนี้ จึงไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานครแต่อย่างใด และถ้ามีฝนตกลงมาอีกในเดือนหน้า ก็จะคาดหมายได้ว่าน่าจะลงมาในบริเวณทุ่งเจ้าพระยาตอนกลางและตอนล่าง ซึ่งน้ำที่เกิดจากน้ำฝนบริเวณนี้ อาจทำให้เกิดน้ำท่วมขังเป็นบางพื้นที่ในส่วนที่มีฝนตกหนักมาก แต่จากสภาพพื้นที่ที่ราบมาก น้ำจะไม่ไหลบ่าอย่างรุนแรง และจะค่อยๆ ระบายลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมักจะไม่ก่อให้เกิดปัญหากับพื้นที่ตอนล่างเท่าใด
โดยสรุป พื้นที่กรุงเทพและใกล้เคียง ยังไม่น่าต้องห่วงว่าน้ำจะท่วมจากฝนที่ตกในรอบนี้ แต่ถ้าจะลุ้นว่าท่วมไหม ก็อาจจะมีจากฝนที่ตกหนักเฉพาะจุดในพื้นที่ตัวเองมากกว่าครับ