

- เร่งโอนเงินให้เสร็จสิ้นต้นเดือนพ.ค.นี้
- ชี้อีก 1 ล้านรายรีบมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม
นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เปิดเผยความคืบหน้ามาตรการเยียวยา 5,000 บาท หลังดำเนินการมาแล้วครบ 1 เดือน มีจำนวนการลงทะเบียนรวมทั้งสิ้น 28.8 ล้านราย (ปิดรับลงทะเบียนเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา) โดยในจำนวนนี้เมื่อหักการลงทะเบียนซ้ำหลายครั้งออกแล้ว คงเหลือผู้ลงทะเบียน 24 ล้านราย ซึ่งพบว่า เป็นผู้ไม่ผ่านการยืนยันตัวตนจากฐานข้อมูลของกรมการปกครอง 1.7 ล้านราย คงเหลือผู้ลงทะเบียนที่เข้าสู่ขั้นตอนการคัดกรองตามหลักเกณฑ์จำนวน 22.3 ล้านราย
ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้ใช้ฐานข้อมูล และระบบการคัดกรองคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนแล้วพบว่า มีผู้ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติจะได้รับสิทธิเนื่องจากมีสิทธิ หรือเข้าข่ายจะได้รับสิทธิเยียวยาจากรัฐบาลผ่านทางอื่นอยู่แล้ว แบ่งเป็น หัวหน้าครัวเรือนเกษตรกร ตามฐานข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร 4.2 ล้านราย เป็นข้าราชการ ข้าราชการ ข้าราชการบำนาญ หรือผู้รับเบี้ยหวัด และผู้ประกันตนที่ได้รับสิทธิชดเชยรายได้ในระบบประกันสังคม 1.1 ล้านราย และมีผู้ขอยกเลิกการลงทะเบียนอีกราว 950,000 ราย
ดังนั้นจึงมีผู้ที่เข้าข่ายสามารถได้รับสิทธิการชดเชยรายได้ตามมาตรการเยียวยา 5,000 บาทจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 16 ล้านราย ซึ่งเป็นผู้ผ่านเกณฑ์แล้วจำนวน 10.6 ล้านราย และกระทรวงการคลังได้โอนเงินเยียวยาให้แก่ผู้ได้รับสิทธิส่วนใหญ่แล้ว 7.5 ล้านรายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 8-29 เม.ย.63 และในวันที่ 30 เม.ย. 2563 จะมีการโอนเงินเยียวยาผู้ได้รับสิทธิอีก 480,000 ราย
ส่วนที่เหลืออีก 2.6 ล้านราย จะเร่งโอนให้ภายในสัปดาห์แรกของเดือนพ.ค. 2563 ให้เสร็จสิ้น ซึ่งกลุ่มนี้จะได้รับเงินเยียวยาของรอบเดือนเม.ย.รวมเป็น 2 เดือนจำนวน 10,000บาท ทั้งนี้สามารถตรวจสอบสถานะล่าสุดได้ที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย.63 เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป หากได้รับสิทธิจะพบข้อความว่า “ท่านได้รับสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท กระทรวงการคลังจะดำเนินการโอนเงินให้ท่านโดยเร็วที่สุด”
“กลุ่มที่ขอข้อมูลการประกอบอาชีพเพิ่มเติมยังคงเหลือผู้ที่ไม่มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีก 1 ล้านราย โปรดมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ในการรับสิทธิจากมาตรการเยียวยาอย่างรวดเร็ว และสำหรับผู้ที่ขอทบทวนสิทธิ 3.5 ล้านราย ทีมผู้พิทักษ์สิทธิอยู่ระหว่างการลงพื้นที่เพื่อยืนยันตัวตนและตรวจสอบการประกอบอาชีพตามที่ได้ลงทะเบียนไว้ ซึ่งกระทรวงการคลังจะเร่งดำเนินการให้ทราบผลโดยเร็วต่อไป”