คลังห่วงปัญหาหนี้ครัวเรือน ชี้คนไทยเน้นบริโภคนิยม มีพฤติกรรมการใช้จ่ายไม่ระมัดระวัง

คลังเผยคนไทยติดบริโภคนิยม หลายครอบครัวมีรายรับไม่พอรายจ่าย ขาดวินัยการออม ลั่นการพัฒนาทักษะทางการเงิน ถือเป็นแนวทางสำคัญ

  • แนะเพิ่มทักษะการเงิน วางแผนออมเงินรับช่วงวัยเกษียณ  เผยตัวเลขหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 90.7% ต่อ จีดีพี ณ ไตรมาส 2 ปี 2566 
  • จ่อพัฒนาทักษะทางการเงินกลุ่มผู้มีความเปราะบางทางการเงินสูง ประสบปัญหาภาวะหนี้รุนแรง กลุ่มผู้พิการ

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Fis & Fin Forum 2023 โดยระบุว่า แม้เศรษฐกิจประเทศไทยจะมีแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงเผชิญกับความอ่อนไหวต่อปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อาทิสถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่ประสบปัญหาทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง และปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่างๆ ที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป

ทั้งนี้ หนึ่งในความท้าทายหลักของไทย คือการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างประชากรที่กำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ซึ่งจะส่งผลต่อภาคส่วนต่างๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ชุมชน หรือครอบครัว โดยปัญหาดังกล่าวหากขาดการวางแผนที่ดี ขาดการร่วมมือกัน ย่อมก่อให้เกิดปัญหาทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว ส่งผลทำให้เป็นปัญหาด้านการเงินของครัวเรือนไทยได้ในอนาคต 

“แม้ภาครัฐได้พยายามสร้างกลไกการออมเพื่อการชราภาพ และการเกษียณอย่างแต่เนื่อง แต่ยังมีผู้สูงอายุจำนวนมากที่มีเงินออมไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตในช่วงบั้นปลาย อีกทั้งรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในสังคมที่มีความเป็นบริโภคนิยมมากขึ้น ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ไม่ระมัดระวัง และมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 90.7% ต่อจีดีพี ณ ไตรมาส 2 ปี 66” 

นายกฤษฎา กล่าวด้วยว่า หลายครัวเรือนมีปัญหารายรับไม่พอรายจ่าย และขาดวินัยการออม ทำให้มีความเปราะบางทางการเงินสูง ประกอบกับการพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบันได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้มีความหลากหลายมากขึ้น ทำให้มีประชาชนจำนวนมากไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ และความไม่เข้าใจบริการทางการเงินรูปแบบใหม่อย่างถ่องแท้ ทำให้ไม่สามารถป้องกันตนเองได้

ทั้งนี้ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ภาครัฐได้จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน พ.ศ. 2565-2570 เพื่อกำหนดกรอบนโยบายและกลไกการบูรณาการเพื่อพัฒนาทักษะทางการเงินของประเทศไทย โดยมีคณะกรรมการการพัฒนาทักษะทางการเงินที่ประกอบด้วยหน่วยงานจากหลายภาคส่วนของประเทศ อาทิ หน่วยงานจากภาคการเงิน ภาคการศึกษา ภาคการพัฒนาสังคม ร่วมกันขับเคลื่อน ซึ่งการพัฒนาทักษะทางการเงินให้กับประชาชนเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของกระทรวงการคลังที่สำคัญด้านการสร้างโอกาส และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

สำหรับแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงินฯ ครอบคลุมประชาชนไทยทุกช่วงวัย โดยได้ระบุกลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับ การพัฒนาทักษะทางการเงินอย่างเร่งด่วน เนื่องจากความรุนแรงของสภาพปัญหา ได้แก่ กลุ่มผู้มีความเปราะบางทางการเงินสูง ประกอบด้วย ผู้ประสบปัญหาภาวะหนี้รุนแรงและปัญหาความยากจน กลุ่มผู้พิการ กลุ่มประชาชนระดับฐานราก กลุ่มเยาวชน กลุ่มผู้สูงวัย ซึ่งความท้าทายคือการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว ประกอบกับทรัพยากรของหน่วยงานภาครัฐมีอยู่จำกัด ดังนั้นการกำหนดกลุ่มและพื้นที่เป้าหมายจึงจำเป็นต้องแม่นยำ เพื่อให้การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงินฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

“การพัฒนาทักษะทางการเงิน ถือเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้คนไทยสามารถบริหารการเงินส่วนบุคคลให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิตประจำวัน สามารถตัดสินใจทางการเงินได้อย่างรอบคอบและมีเหตุผล สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลทางการเงินที่เชื่อถือได้ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสมกับตนเอง และสามารถวางแผนบริหารจัดการการเงินและการออมได้ ซึ่งจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน และความเป็นอยู่ที่ดีทางการเงินให้กับประชาชนได้อย่างยั่งยืน”