คมนาคมเตรียม 3 สายการบิน “การบินไทย-นกแอร์-ไทยแอร์เอเชีย” รับแรงงานไทยจากอิสราเอล

คมนาคมเตรียมพร้อม 3 สายการบิน การบินไทย-นกแอร์-ไทยแอร์เอเชีย บินรับแรงงานไทยในอิสราเอล ด้านก.ต่างประเทศเร่งรวบรวมคนไทย กำหนดสถานที่นัดหมายรับ เพื่อแจ้งคมนาคมทราบ ทำการวางแผนเที่ยวบิน

  • เผยการสู้รบขยายวงกว้างออกไปมาก ส่งผลต่อการเดินทางไปยังจุดต่างๆ เกือบทุกแห่ง
  • ย้ำกระทรวงการต่างประเทศ ยังคงใช้ความพยายามทุกวิถีทาง เพื่อรวบรวมคนไทยทั้งหมด
  • ลั่นคมนาคมเตรียมพร้อมทุกด้านแล้ว ทั้งเครื่องบิน การขออนุญาตทำการบิน เหลือเพียงการรวบรวมคนไทยไปยังจุดนัดรับ

วันนี้ (12 ต.ค.66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม เป็นประธานการประชุมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศกองบัญชาการกองทัพไทย และสายการบิน เพื่อสรุปแผนอพยพคนไทยกว่า 5,000 คน ที่แจ้งความประสงค์กลับประเทศไทย โดยมีนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดประทรวงคมนาคม พร้อมทั้งผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ผู้อำนวยการสนามบินสุวรรณภูมิ เข้าร่วมประชุมหารือเพื่อประเมินสถานการณ์ใน ประเทศอิสราเอลในขณะนี้ และสรุปแผนเตรียมความพร้อมการอพยพนาคนไทยกลับประเทศ ตามบัญชาของนาย เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ซึ่งมีความห่วงใยต่อคนไทยที่ยังติดอยู่ในสถานการณ์การสู้รบ ให้กลับสู่ประเทศไทย โดยเร็วที่สุด

นายสุริยะ กล่าวว่า ทางนายณรงค์ บุญเสถียรวงศ์ รองอธิบดีกรมการกงสุล ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ได้สรุปว่าขณะนี้ สถานการณ์การสู้รบขยายวงกว้างออกไปมาก ส่งผลต่อการเดินทางไปยังจุดต่างๆ เกือบทุกแห่ง ทำให้การรวบรวม คนงานไทยไปยังสถานที่ปลอดภัย เพื่อเตรียมการลำเลียงขึ้นเครื่องบินกลับประเทศรวมทั้งการเดินทางไปยังสนามบินเทลอาวีฟ ซึ่งเป็นสนามบินแห่งเดียวในอิสราเอลที่ยังคงเปิดใช้งานอยู่ยังเป็นไปด้วยความยากลาบากอย่างไรก็ตามทางกระทรวงการต่างประเทศยังคงใช้ความพยายามทุกวิถีทางในขณะนี้เพื่อรวบรวมคนไทยทั้งหมด ซึงรวมทั้งการเปิดศูนย์ฉุกเฉินทางานตลอด 24 ชั่วโมง

ในขณะที่การเตรียมความพร้อมด้านเที่ยวบิน ขณะนี้มีสายการบินของไทยอย่างน้อย 3 สายการบินที่แสดง ถึงความพร้อมสาหรับปฏิบัติการรับคนไทยกลับประเทศ ได้แก่ สายการบินไทยแอร์เอเชีย การบินไทย และนกแอร์ ที่จะสามารถเดินทางไปรับได้ภายใน 3 วันเมื่อได้มีการกำหนดแผนและสนามบินที่จะใช้เป็นจุดรับคนไทยเป็นที่ ชัดเจนแล้ว โดยอาจเป็นทั้งที่สนามบินเทลอาวีฟหรือสนามบินอื่น ๆ ภายนอกประเทศอิสราเอลที่มีความปลอดภัย ดังนั้นในขั้นนี้ จึงขึ้นอยู่กับความพร้อมในการรวบรวมคนไทยในประเทศอิสราเอลที่จะดำเนินการโดยกระทรวงการ ต่างประเทศเป็นสาคัญเพื่อให้ทราบทั้งจานวนและสนามบินที่จะใช้เป็นจุดรับ

ทั้งนี้ ในส่วนของการขออนุญาตทางการบินเพื่อการส่งกลับประเทศ (Repatriation Flight) ซึ่งจะต้องขออนุญาตทั้งประเทศปลายทาง และประเทศที่บินผ่านเป็นกรณีพิเศษ ที่ประชุมได้สรุปให้กระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ดำเนินการประสานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ เพื่อยื่นขออนุญาตเป็นทางการกับอิสราเอล รวมทั้ง ประสานเอกอัครราชทูตไทยประจากประเทศอื่น ๆ เช่น ประเทศจอร์แดน ในกรณีที่มีแผนจะให้เครื่องบินไปรับนอก เขตแดนของอิสราเอลที่มีพรมแดนติดกัน ตลอดจนประสานประเทศระหว่างทางที่เที่ยวบินพิเศษนี้จะต้องทำการบินผ่านเพื่ออำนวยความสะดวกตลอดเส้นทาง อันเป็นแนวปฏิบัติสากลระหว่างรัฐต่อรัฐในกรณีดังกล่าว ทั้งนี้ใน เบื้องต้นสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ได้มีหนังสือแจ้งไปยังสำนักงานการบินแห่งอิสราเอล (CAAI) ทราบล่วงหน้าแล้ว

“กระทรวงการต่างประเทศจะเร่งรวบรวมคน ไทยและสรุปจำนวนและสถานที่นัดหมายรับคนไทยเพื่อแจ้งให้กระทรวงคมนาคมทราบ เพื่อกำหนดแผนเที่ยวบิน ให้กับสายการบินทราบต่อไป ส่วนแผนการขนส่งคนไทยกลับประเทศจะกำหนดไว้เป็นสองแนวทางร่วมกัน ทั้งการบินตรงจากสนามบินต้นทางสู่ประเทศไทย และการอพยพคนไทยออกจากอิสราเอลไปยังประเทศที่ปลอดภัย เช่น ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรืออินเดีย ซึ่งเป็นการบินระยะสั้น สามารถดาเนินการขนคนไทยได้จำนวนมากใน เวลาที่รวดเร็วกว่าก่อนที่จะจัดเครื่องบินพาณิชย์เดินทางกลับสู่ประเทศไทยต่อไป”

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ขณะนี้จึงถือได้ว่าการเตรียมความพร้อมทุกด้าน ทั้งเครื่องบินและการประสานเพื่อขออนุญาตทำการบิน กับประเทศต่าง ๆ ครบถ้วนแล้ว จึงเหลือเพียงความสำเร็จของการรวบรวมคนไทยไปยังจุดต่างๆ เพื่อกำหนดจุดรับต่อไปทันที ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมขอให้ทางกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการและแจ้งความ คืบหน้าทันทีที่สามารถเริ่มปฏิบัติการบินตามแผนได้