เปิด “โรงเพาะฟักสัตว์น้ำ” ปัตตานีผงาดเมืองปูทะเลโลก “บิ๊กป้อม” ปลื้ม ศอ.บต./บพท. ดันเศรษฐกิจใต้พุ่ง 5 ปีหน้า



  • “บิ๊กป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯ ปลื้ม โปรเจกต์ “วิจัยเพาะฟักปูทะเล” 
  • ได้ ศบ.บต./บพท./มอ.ปัตตานี รวมพลังกันยกระดับอาชีพชาวประมงชายแดนใต้ 
  • “เพาะเลี้ยงและผลิตปูทะเล” ส่งขายดันปัตตานีผงาด “เมืองปูทะเลโลก” ภายใน 5 ปีหน้าทำรายได้โตก้าวกระโดดปีละกว่า 5,000 ล้านบาท

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดโรงเพาะฟักสัตว์น้ำ ที่มหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2565 กล่าวแสดงความชื่นชมความร่วมมือร่วมใจกันการศึกษาค้นคว้า “วิจัยพัฒนาชุดความรู้” จนเกิด “โครงการเพาะเลี้ยงปูทะเล โรงเพาะฟักสัตว์น้ำ” ซึ่งทุกภาคส่วนหลายหน่วยงานร่วมมือกันทำจนสำเร็จ ทั้งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กรมประมง และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) รวมพลังกันนำงานวิจัยของมาหวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มาเติมเต็มห่วงโซ่อุปทานของการเลี้ยงปูทะเลให้ครบวงจร

เพราะงานวิจัยเป็นพื้นฐานสำคัญการทำโรงเพาะฟักปูทะเล เป็นแรงขับเคลื่อนให้จังหวัดปัตตานี เป็นเมืองปูทะเลโลกซึ่งจะสามารถช่วยขับเคลื่อนสร้างความอยู่ดีกินดีมีความสุขแก่ประชาชนในจังหวัดชายแดนใต้ประกอบอาชีพอย่างมั่นคงยั่งยืน

รศ.ดร.ซุกรี หะยีสาแม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม จังหวัดปัตตานี  อธิบายว่าเพิ่มถึงข้อมูลการทำโรงเพาะฟักสัตว์น้ำแห่งนี้ เกิดผลเป็นรูปธรรมได้เพราะงานค้นคว้าวิจัยพัฒนาการเพาะฟักปูทะเล นอกจากจะแก้ปัญหาคอขวดการเพาะฟักลูกปูได้เบ็ดเสร็จแล้ว ยังใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ของนิสิตนักศึกษา ได้ค้นคว้าวิจัยการผลิตลูกปูทะเล และแหล่งผลิตให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงปูด้วย

ดร.กิตติ  สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กล่าวว่า  โรงเพาะฟักสัตว์น้ำแห่งนี้ เปรียบเหมือนรางวัลความสำเร็จจากการทุ่มเทศึกษาค้นคว้าวิจัยการเพาะฟักปูทะเล ที่ บพท.มีส่วนสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา 3 ปี โดยร่วมกับมหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ศอ.บต. จังหวัดปัตตานี กรมประมง และภาคีที่เกี่ยวข้องอีกหลายภาคส่วน มั่นใจจะต่อยอดใช้ประโยชน์ทำเป็นทั้งแหล่งเรียนรู้ต่อยอดงานวิจัยเรื่องปูทะเลให้ดียิ่งขึ้น ควบคู่การยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตให้แก่เศรษฐกิจฐานรากทั้งระดับครัวเรือนและชุมชนดำรงอยู่อย่างเข้มแข็งได้

อีกทั้งยังจะมีส่วน “ขยายมูลค่าการค้าปูทะเลของไทย” เพิ่มสูงขึ้น เป็นรากฐานสำคัญทำให้ปัตตานีเป็นเมืองปูทะเลโลกอย่างสมบูรณ์แบบ

โดย “โรงเพาะฟักสัตว์น้ำ” จะเกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สร้างมูลค่าผลผลิตปูทะเลไทยขยายตัวแบบก้าวกระโดดภายในอีก 5 ปีข้างหน้า ชาวประมงกลุ่มนี้จะรายได้เป็นปีละ 5,000 ล้านบาท จากปัจจุบันทำได้900 ล้านบาท

เนื่องจากโรงเพาะฟังสัตว์น้ำดังกล่าวเป็นต้นทางการเพาะฟักลูกปู และอนุบาลลูกปู ก่อนส่งต่อให้เกษตรกรนำไปเลี้ยงในระบบปิดควบคุมอุณหภูมิและระดับความเค็มของน้ำ หรือนำไปเลี้ยงในระบบเปิดในนากุ้งร้าง และป่าชายเลนเสื่อมโทรม ช่วยฟื้นฟูป่าชายเลนเสื่อมโทรม หรือนากุ้งร้างที่เสื่อมค่า ให้กลับมามีคุณค่า

พล.ร.ต.สมเกียรติ  ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต.กล่าวว่าศอ.บต.เชื่อมั่นว่าโรงเพาะฟักสัตว์น้ำแห่งนี้จะทำให้กระบวนการเพาะเลี้ยงปูทะเลมีความครบวงจร เกิดประโยชน์แก่ประชาชนในหลายภาคส่วนทั้งผู้เลี้ยง ผู้ประกอบการร้านอาหาร ภาคการท่องเที่ยว ตอนนี้ ศอ.บต.ได้ประสานงานกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี นำชุดความรู้การเลี้ยงปูทะเลไปส่งเสริมให้ประชาชนประกอบอาชีพเลี้ยงปูทะเลแล้วกว่า 30 ชุมชน

นายมูฮำหมัดสุกรี  มะแซ ประธานกลุ่มเลี้ยงปูในบ่อกุ้งร้าง ต.บางปู อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี กล่าวว่า ได้นำชุดความรู้เรื่องการเลี้ยงปูทะเลไปใช้ประกอบอาชีพแล้วได้ผลผลิตดีมาก จึงตัดสินใจเลิกอาชีพประมงเรือเล็กที่ต้องออกทะเลให้หาสัตว์น้ำในทะเล มาเลี้ยงปูอย่างจริงจัง ซึ่งก่อนมาเลี้ยงปู ต้องหาเช้ากินค่ำไม่มีเงินเหลือเก็บ แต่เมื่อเปลี่ยนมาเลี้ยงปูชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นมาก มีเงินเหลือเก็บ เหมือนมีตู้เอทีเอ็มส่วนตัว อยากใช้เงินก็จับปูไปขาย โดยปูเนื้ออายุ 4 เดือนขนาด 2-3 ตัว/กิโลกรัม ขายได้กิโลกรัมละ 400-500 บาท ส่วนปูไข่ กิโลกรัมละ 500-600 บาท

ความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมจาก “วิจัยพัฒนาชุดความรู้” ของ มอ.ปัตตานี ที่ได้รับการผลักดันจาก ศอ.บต. และบพท.จนเกิด “โครงการเพาะเลี้ยงปูทะเล โรงเพาะฟักสัตว์น้ำ” นั้นถือเป็นอีกหนึ่งโมเดลการฟื้นเศรษฐกิจด้วยการทำให้ปัตตานีเป็นเมืองปูทะเลโลกสร้างขวัญกำลังใจประชาชนจังหวัดชายแดนใต้ให้กลับมาเข้มแข็งได้อีกครั้ง

เรื่องโดย…#เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza,www.facebook.com/penroongyaisamsaen