“หมอธีระ” เผยทั่วโลกฉีดวัคซีนโควิดแล้ว 49 ประเทศ ครอบคลุมประชากรกว่า 55 ล้านคน



  • หวังทุกภาคส่วนร่วมมือจัดซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ
  • ขอให้คนไทยป้องกันตัวเองอย่างเคร่งครัด

2 กุมภาพันธ์ 2564 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความเกี่ยวกับสถานการณ์ “โควิด-19” ผ่านทางเฟซบุ๊ก “Thira Woratanarat” มีเนื้อหาดังนี้…

สถานการณ์ทั่วโลก 2 กุมภาพันธ์ 2564

เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 406,266 คน รวมแล้วตอนนี้ 103,854,085 คน ตายเพิ่มอีก 9,988 คน ยอดตายรวม 2,245,582 คน
อเมริกา เมื่อวานติดเชิ้อเพิ่ม 129,912 คน รวม 26,866,195 คน ตายเพิ่มอีก 2,064 คน ยอดตายรวม 453,604 คน
อินเดีย ติดเพิ่ม 13,808 คน รวม 10,767,159 คน
บราซิล ติดเพิ่ม 24,591 คน รวม 9,229,322 คน
รัสเซีย ติดเพิ่ม 17,648 คน รวม 3,868,087 คน

สหราชอาณาจักร ติดเพิ่มอีก 18,607 คน รวม 3,835,783 คน ต่ำกว่าสองหมื่นคนเป็นวันแรกหลังจากครั้งสุดท้ายเมื่อ 15 ธันวาคม 2563 นับเป็นเวลาถึง 6 สัปดาห์ ผลที่เกิดขึ้นมาจากการล็อคดาวน์จำกัดการเคลื่อนที่ของประชากร ยังไม่น่าจะเป็นผลจากวัคซีนที่ฉีด เนื่องจากคนแรกที่ได้รับวัคซีนนั้นได้รับวันที่ 8 ธันวาคม 2563 และทยอยฉีดมาจนถึง 31 มกราคม 2564 มีคนที่ได้วัคซีนไปอย่างน้อย 1 เข็ม ครอบคลุมประชากรไปเพียง 13.69% ของทั้งหมด

อันดับ 6-10 เป็น ฝรั่งเศส ตุรกี อิตาลี สเปน และเยอรมัน ส่วนใหญ่ติดกันหลายพันถึงหลักหมื่นต่อวัน
แถบอเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย อย่างโคลอมเบีย เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงอิหร่าน บังคลาเทศ อิสราเอล อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ยังติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลักหมื่น
แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก และยูเรเชีย ก็ยังมีติดเชื้อเพิ่ม แต่มีแนวโน้มลดลง
เกาหลีใต้ และไทย ติดเพิ่มหลายร้อย ส่วนจีน ฮ่องกง เวียดนาม และสิงคโปร์ ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่กัมพูชา และออสเตรเลีย ติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ

หากติดตามสถานการณ์การฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกจนสิ้นสุดเดือนมกราคมที่ผ่านมา

ถ้าเรียงลำดับ 5 ประเทศแรกที่ฉีดวัคซีนไปอย่างน้อยหนึ่งโดส โดยครอบคลุมประชากรมากสุด ได้แก่ อิสราเอล 35.6% สหรัฐอาหรับอีมิเรตส์ 32.26% สหราชอาณาจักร 13.69% บาร์เรน 10.08% และอเมริกา 7.61%

มีประเทศที่ได้ทยอยฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนของตนเองไปแล้วถึง 49 ประเทศทั่วโลก โดยฉีดไปกันตั้งแต่ 6,752 คน ถึง 22.52 ล้านคน รวมแล้วทั้งโลกฉีดไปแล้ว 55.34 ล้านคน

ในยามวิกฤติโรคระบาดรุนแรงเช่นนี้ ทุกประเทศล้วนพยายามเต็มที่เพื่อปกป้องสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนของตนเอง
คงจะดีมาก หากภาคส่วนเอกชน และประชาสังคม ได้รับการสนับสนุนให้มีส่วนร่วมในการจัดซื้อจัดหาวัคซีนหลากหลายชนิด ที่ได้รับการวิจัยพิสูจน์สรรพคุณแล

ความปลอดภัยตามมาตรฐานสากลแล้วมาใช้ในแต่ละประเทศ ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระภาครัฐไปได้ไม่มากก็น้อย โดยภาครัฐก็ควรเอื้ออำนวยให้เกิดกระบวนการอนุมัติขึ้นทะเบียนวัคซีนชนิดต่างๆ ตามหลักเกณฑ์มาตรฐานทางการแพทย์ที่มี ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
เพราะทุกประเทศล้วนอยากเป็น…อันดับต้นๆ…ที่จะทำให้ประชาชนปลอดภัยจากภัยโรคระบาด

สำหรับสถานการณ์ระบาดในประเทศไทยนั้น ขอเน้นย้ำให้เราทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีสติ ป้องกันตัวเองอย่างเคร่งครัดครับ