

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2565 นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงการจัดชุดสิทธิประโยชน์รักษาภาวะมีบุตรยาก เพื่อเสริมมาตรการกระตุ้นอัตราการเกิดในประเทศไทย หลังจากพบว่าปัจจุบันอัตราเด็กเกิดใหม่ต่ำอยู่ในภาวะวิกฤต ว่า ขณะนี้หลายฝ่ายเห็นตรงกันในเรื่องการวางมาตรการส่งเสริมการเกิด เช่น เรื่องการรักษาภาวะมีบุตรยาก คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ก็มีมติเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 ออกประกาศขอบเขตบริการใหม่ หรือสิทธิประโยชน์ใหม่ โดยเพิ่มการให้บริการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากสามารถเบิกจ่ายได้ แต่ยังยกเว้น กรณีตั้งครรภ์แทน (อุ้มบุญ)
“ขณะนี้ อยู่ระหว่างรอทางราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย และกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ส่งรายละเอียดว่าจะให้การรักษาครอบคลุมอะไรบ้าง ขั้นแรกต้องเอาตรงนี้ให้ชัดเจนก่อน เพื่อที่สปสช.จะได้พิจารณาว่าพร้อมจะบรรจุในสิทธิประโยชน์อย่างไร มีค่าใช้จ่ายเท่าไร เตรียมงบประมาณจากที่ไหนมารองรับ รวมถึงประมาณการณ์คนเข้ารับการรักษา เป็นต้น และจัดหางบมาสนับสนุนต่อไป” นพ.จเด็จ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ถึงขั้นใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยต้องนำร่องด้วยหรือไม่ นพ.จเด็จ กล่าวว่า สิทธิประโยชน์ตรงนี้ ยังไม่ทราบว่ามีอะไรบ้าง อาจจะเป็นเรื่องการให้คำปรึกษาก่อน หากแพทย์ระบุว่าต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งเราไม่รู้ว่ามีกี่แบบ
“เบื้องต้นเห็นในเอกสารประกอบการประชุมมีการยกตัวอย่าง IVF เด็กหลอดแก้ว แต่ก็ต้องมาดู จึงต้องมีคณะกรรมการขึ้นมากำหนดรายการให้ชัด ซึ่งคาดว่าการพิจารณาคัดเลือกของ สปสช.จะใช้เวลาไม่นานหาก ส่งรายการเข้ามาถึงเราแล้ว โดยหากเป็นเทคโนโลยีที่เคยกันอยู่ มีการศึกษาความคุ้มค่าไว้แล้ว ก็ไม่นาน แต่หากเป็นเทคโนโลยีใหม่ อาจจะต้องใช้เวลาศึกษาเพิ่มเติม โดยเฉพาะหากเสนอเข้ามาช่วงงบกลางปีก็ต้องไปดูว่าจะหาเงินจากที่ไหนได้บ้าง” นพ.จเด็จ กล่าว
เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า ปัญหาเด็กเกิดน้อย ณ ขณะนี้เป็นวิกฤติที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันมีมาตรการกระตุ้นการเกิด อย่างไรก็ตาม บางคนก็ยังเข้าใจผิดว่า ที่ สปสช.แจกยาคุมกำเนิด แจกถุงยางอนามัย เป็นการควบคุมการเกิดนั้น ไม่ใช่
“เพราะนั่นคือ กรณีที่ไม่พร้อม ปัจจุบันที่เราทำมี 2 ขา คือ คนที่ไม่พร้อมจะมีบุตร ก็ต้องเข้าถึงการคุมกำเนิด ส่วนคนที่พร้อมจะมีบุตร แต่มีบุตรยากก็จะต้องได้รับสิทธิในการรักษา เริ่มตั้งแต่การให้คำปรึกษา ตลอดจนการทำหัตถการต่างๆ ซึ่งเราก็รับลูกมาเพื่อดูว่าจะขยายสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมได้อย่างไร ขณะนี้ยังไม่มี แต่โดยหลักนั้น ได้ ซึ่งเชื่อว่าจะประกาศได้คงใช้เวลาไม่นานหากเร่งส่งเรื่องเข้าไปที่ สปสช.” นพ.จเด็จ กล่าวและว่า ตั้งแต่ปี 2545 มีข้อมูลประชาชนเข้ารับการปรึกษา รักษาภาวะมีบุตรยากน้อยมาก เพราะการรับรู้ ทั้งนี้ เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีประชาชนสนใจและเริ่มสอบถามเข้ามามากขึ้น”
เมื่อถามถึงการปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ครอบครัวผู้มีความหลากหลายทางเพศสามารถมีบุตรได้ หากสำเร็จ สปสช.พร้อมบรรจุเป็นสิทธิประโยชน์ด้วยหรือไม่ นพ.จเด็จ กล่าวว่า ต้องรอดูก่อนว่า หากเพศเดียวกันแต่งงานกัน จะทำให้มีบุตรนั้นจะต้องมาอยู่ในสิทธิประโยชน์ได้อย่างไร
“ขณะนี้ยังเร็วไปที่จะตอบ เพราะกฎหมายก็ยังไม่รู้ว่าจะออกมาอย่างไร” นพ.จเด็จ กล่าว