

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองผู้บังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (รอง ผบก.ปอท.) ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กล่าวว่า ผบ.ตร. ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัส-19 รอบใหม่ที่จังหวัดสมุทรสาคร ที่พบผู้สัมผัสติดเชื้อจากการเข้าไปซื้อ-ขายอาหารทะเลเดินทางต่อไปหลายจังหวัด ได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศให้รวมปฏิบัติกับฝ่ายสาธารณสุขอย่างเข้มงวดกวดขั้นการเดินทางเข้าออกในนอกพื้นที่ดังกล่าวตลอดจนแนวชายแดนเพื่อป้องกันการแพร่กระจายโรค
ทั้งนี้ในส่วนพี่น้องประชาชนที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ทุกประเภท จากการตรวจสอบพบว่า มีการแชร์ส่งต่อข้อมูลตลอดจนข่าวสาร ที่มีลักษณะอันเป็นเท็จเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ทั้งรูปแบบอินโฟร์กราฟฟิกที่ไม่มีที่มาที่ไป หรือไม่แสดงแหล่งที่มาของข้อมูล หรือส่งต่อข้อมูลเก่าภาพเก่า สร้างความตื่นตระหนกในสังคม เช่นกรณีภาพกำแพงถูกทุบทำลายแล้วอ้างว่าคนงานต่างด้าวใช้หลบหนีการควบคุมของเจ้าหน้าที่ทางการไทย ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ต้องออกมาชี้แจงว่าตรวจสอบแล้วเป็นภาพเก่าไม่ใช่ข้อมูลจริง
นอกจากนี้ยังมีการส่งต่อข้อมูลสถานที่อันตรายย่านต่างๆ ที่พบว่าเป็นข้อมูลเก่าเมื่อการแพร่ระบาดตอนต้นปี นำวนกลับมาส่งต่อใหม่อีกโดยเฉพาะทางกลุ่มไลน์ต่างๆ ที่ผู้รับได้ต่อมาจากเพื่อนทางไลน์แล้วอาจจะเจตนาดีรีบส่งต่อให้เพื่อนคนอื่นทันที โดยไม่ได้มีการตรวจสอบให้ชัดเจน ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของข้อมูลข่าวสารโควิด-19 เกินกว่าสถานการณ์จริง
สร้างความสับสน ตื่นตระหนกให้แก่พี่น้องประชาชน
ทั้งนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงอยากจะฝากเตือนพี่น้องประชาชน ขอให้พิจารณาเลือกรับข้อมูลข่าวสารจากช่องทางของทางราชการโดยเฉพาะหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงในเรื่องนี้คือ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (ศบค.) ซึ่งมีการแถลงข้อมูลทุกวัน หรือสำนักข่าวหลักที่มีความน่าเชื่อถือ
โดยขอให้ตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องจริง/ข้อมูลจริง ก่อนจะส่งต่อหรือแชร์ต่อให้เพื่อน เพราะหากส่งต่อข้อมูลอันเป็นเท็จดังกล่าวจะยิ่งเป็นการจะสร้างความตื่นตระหนก สับสน กับสังคมในวงกว้างได้ ดังนั้นขอให้ใช้วิจารณญาณให้มาก
ทั้งนี้หากมีการตรวจสอบพบว่า ผู้ใดมีเจตนาปล่อยข่าวปลอมหรือนำเข้าข้อมูลที่เป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์หรือแชร์ข้อมูลเท็จดังกล่าวก็จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯมาตรา 14 (2) หรือ (5) แล้วแต่กรณี ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม อยากจะฝากเตือนในกรณีการรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนของพี่น้องประชาชนในการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งทางการเมืองหรือเรื่องอื่นๆ ก็ขอให้ใช้ความระมัดระวังและป้องกันตนเองตามมาตรการที่ทางรัฐบาลได้กำหนดไว้ หรือถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง ด้วยความปรารถนาดีจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ