

- เผยข้อมูลบางส่วนได้ถูกทำลายไปแล้วย้ำไม่ได้นำข้อมูลรายชื่อไปจำหน่ายต่อแต่อย่างใด
- จ่าสิบโทกราบขอโทษคนไทยทั้งประเทศหลังนำข้อมูลส่วนบุคคลไปเผยแพร่ทางสื่อโซเชียล
- ด้าน“ชัยวุฒิ”ยืนยันที่ผ่านมาหน่วยงานรัฐได้มีการสร้างระบบป้องกันข้อมูลรั่วไหลเป็นอย่างดี
วันนี้ (12 เม.ย.66) พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเปิดเผยว่า จากการสอบปากคำ จ่าสิบโทเขมรัฐ บุญช่วย สังกัด ขส.ทบ.ผู้ต้องหาในคดีตามความในพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นแฮกเกอร์ใช้นามว่า “9near” นั้น เบื่องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ รวมทั้งพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ได้มานั้นมีความสอดคล้องกับคำให้การ จากการสอบพบผู้ต้องหาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งมีความรู้ในด้านไอทีและมีความสนใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองอยู่ในเว็บไซต์ Bleach Forums ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่แฮ็คเกอร์นิยมใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนข้อมูลผิดกฎหมายหรือไม่ จึงเข้าไปตรวจสอบ และพบว่ามีข้อมูลของตนเองอยู่จริง จึงได้ติดต่อขอซื้อข้อมูลส่วนตัวคนไทยเพิ่มจากเว็บ จำนวน 8,000,000 เรคคอร์ด เป็นเงิน 8,000 บาท จากเว็บไซต์ดังกล่าว
โดยจากนั้น ได้นำรายชื่อส่วนหนึ่งโพสต์ขึ้นโซเชียลมีเดียแต่ยังไม่ได้รับความสนใจ จึงได้นำข้อมูลส่วนตัวของคนมีชื่อเสียงโพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย และส่งข้อความไปหาเจ้าของข้อมูล จนเกิดเป็นกระแสขึ้นมา ทำให้รู้สึกตกใจจนต้องหลบหนีไปยังสถานที่ต่างๆ เพียงคนเดียว ส่วนพื้นที่ก่อเหตุนั้นยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้ได้นำตัวผู้ต้องหาไปตรวจค้นยังบริเวณบ้านพัก และสถานที่อื่นๆ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อค้นหาอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิด
อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหายืนยันว่าข้อมูลที่ได้มา เป็นการซื้อข้อมูลไม่ใช่การแฮ็กข้อมูล ซึ่งข้อมูลบางส่วนได้ถูกทำลายไปแล้ว และยังไม่ได้นำข้อมูลดังกล่าวไปจำหน่ายต่อแต่อย่างใด ทั้งยังยืนยันว่า ข้อมูลส่วนบุคคลของคนไทยที่หลุดไป 55 ล้านรายชื่อนั้นไม่เป็นความจริง ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบจำนวนข้อมูลที่รั่วไหลที่แท้จริง
ขณะเดียวกัน ผู้ต้องหายืนยันว่าเป็นการกระทำเพียงคนเดียว และจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่า ภรรยาของผู้ต้องหาเป็นพยาบาล มีหน้าที่ดูแลคนไข้บนวอร์ด ไม่เกี่ยวข้องกับการดูแลระบบไอที หรือข้อมูลอื่นๆ แต่อย่างใด
ด้านนายชัยวุฒิ คมาธมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส กล่าวว่า การกระทำผิดของผู้ต้องหาไม่ใช่การแฮ็กข้อมูล และเป็นการกระทำโดยตัวคนเดียว ซึ่งจากการตรวจสอบ ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพและเป็นไปตามพยานหลักฐาน ส่วนจะมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของตำรวจไซเบอร์ หากพบบุคคลที่เกี่ยวข้องก็จะดำเนินการโดยไม่มีข้อยกเว้น และขอย้ำว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองแต่อย่างไร
“ขอยืนยันว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานรัฐได้มีการสร้างระบบป้องกันข้อมูลรั่วไหลเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพิ่งประกาศใช้ในปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนไทย แต่ยอมรับว่าการมีข้อมูลรั่วไหลจากหน่วยงานรัฐในอดีตนั้นตนไม่ทราบรายละเอียด” นายขัยวุฒิ กล่าว
นอจากนี้ ยังมีรายงานว่า จ.ส.ท.เขมรัฐ ยังได้กราบขอโทษคนไทยทั้งประเทศ หลังจากที่ได้นำข้อมูลส่วนบุคคลไปเผยแพร่ทางสื่อโซเชียลมีเดียจนเกิดความตระหนก จึงขอโทษมา ณ ที่นี้ พร้อมยืนยันว่า ข้อมูลทั้งหมดยังไม่ถูกนำไปจำหน่าย ส่วนเหตุผลของการกระทำครั้งนี้ ทั้งการซื้อข้อมูล รายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูล รวมทั้งสำนวนและรายละเอียดต่าง ๆ ขอให้การกับพนักงานสอบสวนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากการสอบปากคำเสร็จสิ้น พนักงานสอบสวนและทหารพระธรรมนูญจะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังยังศาลทหาร โดยท้ายคำร้องคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาจะทำการหลบหนี โดยมีระยะเวลาฝากขังผัดแรก ตั้งแต่วันที่ 12 -23 เม.ย.66 รวมระยะเวลา 12 วัน