กระทรวงศึกษาเร่งตรวจสอบหนังสือการ์ตูนนิทานที่อาจมีเนื้อหาเข้าข่ายปลุกระดมเยาวชน



  • “คุณหญิงกัลยา”​เด้งรับนโยบายนายกรัฐมนตรี
  • “ภูมิสรรค์-ดรุณวรรณ” ชี้การตรวจสอบเป็นโอกาสผู้จัด
  • ที่จะได้ชี้แจงเจตนารมณ์ที่แท้จริง

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย โฆษกประจำตัวรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช) เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ว่าขณะนี้มีการผลิตหนังสือนิทานสำหรับเด็กคล้ายตำราเรียนและนำออกมาจัดจำหน่ายให้กับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 5 ขวบขึ้นไป ที่มีเนื้อหาเข้าข่ายบิดเบือนและอาจให้เด็กเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้หากไม่ได้รับการชี้แนะอย่างถูกต้องโดยครูหรือผู้ปกรอง โดย ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ทราบเรื่องนี้แล้ว และมีความเป็นห่วงอย่างมาก

จึงได้สั่งให้ตั้งทีมเฉพาะกิจ โดยมีนายภูมิสรรค์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ที่ปรึกษารัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เเละนโยบาย เป็นประธานในเรื่องนี้ พร้อมด้วยนางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย โฆษกประจำตัวรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช) และคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวโดยเร็ว

“คุณหญิงกัลยาท่านได้ทราบเรื่องนี้แล้ว และไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งเร่งให้ตรวจสอบโดยด่วน ซึ่งหากพบว่าหนังสือดังกล่าวมีเนื้อหาที่ปลุกปั่น สร้างความเกลียดชัง และครอบงำความคิดเด็กโดยเฉพาะเด็กที่ยังไม่สามารถแยกแยะข้อเท็จจริงต่าง ๆ ได้ อันจะก่อให้เกิดผลกระทบตามมาในหลายด้าน จึงอยากให้ครูและผู้ปกครอง รวมถึงประชาชนโดยทั่วไปที่เสพข้อมูลดังกล่าวจะต้องตระหนักถึงข้อเท็จจริง แยกแยะ และไม่ยอมรับหรือสนับสนุนให้เชิดชูความรุนแรง รวมถึงการสร้างข้อมูลเท็จหรือเนื้อหาที่บิดเบือนเพื่อปลุกปั่นเยาวชนให้หลงผิดได้” นางดรุณวรรณ กล่าว

นางดรุณวรรณ ยังกล่าวต่อด้วยว่า ท่านรัฐมนตรีมีมุมมองที่เปิดกว้างสำหรับเยาวชนมาโดยตลอดและเชื่อในหลักสิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล แต่สิ่งที่สำคัญคือผู้จัดทำข้อมูลต้องไม่มีเจตนาให้ร้าย บิดเบือน หรือสร้างความแตกแยก ยุแหย่ให้เกิดความเกลียดชังขึ้นในสังคมไทย จึงอยากร้องขอให้ผู้ที่มีเจตนาไม่หวังดีต่อประเทศได้ยุติการกระทำดังกล่าว ทั้งนี้ทีมเฉพาะกิจดังกล่าวจะประสานงานกับฝ่ายความมั่นคงต่อไป หากพบว่าเนื้อหาที่ปรากฎในนิทานดังกล่าวมีเจตนาปลุกระดม ล้างสมอง หรือปลุกปั่นเด็กๆ หรือไม่ และมีใครเป็นผู้ที่อยู่เบืองหลัง ซึ่งหากพบว่าผิดจริงถือว่าเป็นอันตรายอย่างมาก และจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

โดยเฉพาะการผลิตสื่อสำหรับเยาวชนผ่านทางช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ขอให้กระทำการด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจทำให้เด็กเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้หากไม่ได้รับการชี้แนะอย่างถูกต้องจากครูหรือผู้ปกครอง ซึ่งทุกคน ทุกหน่วยงานต้องมีหน้าที่ช่วยกันสอดส่องดูแลไม่ให้ผู้ที่ไม่หวังดีต่อประเทศชาติสามารถผลิตสื่อโดยใช้ข้อมูลที่บิดเบือนสร้างความแตกแยกในสังคมได้