กฟผ. จับมือ กรอ. ก้าวแรกสุ่การจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ในประเทศไทย



  • ขานรับอุตสาหกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียน
  • ต่อยอดตั้งโรงงานกำจัดซากต้นแบบในไทย
  • ร่วมด้วยช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม

นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยหลังการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการศึกษาการบริหารจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ในประเทศไทย” กับนายพัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.เพื่อร่วมมือกันบริหารจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ที่เกิดจากการใช้งานภายในประเทศ

ทั้งนี้ รัฐบาลมีแผนการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ให้ได้ 15,574 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580 และส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศให้ได้ 1.2 ล้านคัน ภายในปี 2579 ซึ่งจะทำให้เกิดซากเซลล์แสงอาทิตย์และอุปกรณ์ประกอบ และซากแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าจำนวนมาก และเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2558 นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการ โดยได้มอบนโยบายเกี่ยวกับการจัดการขยะที่เกิดจากเซลล์แสงอาทิตย์ในการผลิตไฟฟ้า โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอเป็นกิจกรรมในแผนยุทธศาสตร์การจัดการของเสียของกระทรวงอุตสาหกรรม

สำหรับในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีเทคโนโลยีและการบริหารจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่อย่างเป็นระบบและครบวงจร ซึ่งอายุการใช้งานของแผงโซลาเซลล์ โดยเฉลี่ยประมาณ 20 ปี คาดว่าในปี 2565 จะมีซากจากแผงโซลาเซลล์เกิดขึ้น 112 ตัน และจะเพิ่มเป็น 1.55 ล้านตัน ในปี 2600 ซึ่งหากไม่มีการวางแผนที่เหมาะสม นอกจากจะส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศแล้ว ยังจะเป็นปัญหาอุปสรรคต่อแผนการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์และการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ตามนโยบายรัฐบาล ในส่วนของ กรอ. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความมุ่งมั่นในการยกระดับอุตสาหกรรมไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) จึงเกิดเป็นความร่วมมือในครั้งนี้กับ กฟผ. เพื่อให้มั่นใจได้ว่าประเทศไทยจะสามารถบริหารจัดการซากทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม

นายพัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ กฟผ. กล่าวว่า การผลิตไฟฟ้าจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ รวมถึงการใช้แบตเตอรี่ทั้งจากอุปกรณ์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฟฟ้ามีการเติบโตอย่างรวดเร็วนั้น กระทรวงพลังงานจึงได้มีนโยบายให้ กฟผ. ในฐานะหน่วยงานซึ่งมีส่วนส่งเสริมและผลักดันการใช้เทคโนโลยีพลังงาน ทั้งการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และรถยนต์ไฟฟ้า ศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินการบริหารจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่หลังสิ้นสภาพการใช้งานอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อการบริหารการใช้ทรัพยากรภายในประเทศตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ด้วยการนำแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ที่ใช้แล้ว มาแปรรูปและนำกลับไปใช้อีกในอนาคต อันมีส่วนเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันด้านเศรษฐกิจของประเทศ และส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่ง กฟผ. คำนึงถึงและดำเนินการควบคู่กับภารกิจหลักในการรักษาความมั่นคงในระบบไฟฟ้าของประเทศมาโดยตลอด

**สำหรับความร่วมมือดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเทคโนโลยี ข้อเสนอแนะ และแนวทางการบริหารจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ในประเทศไทย เพื่อนำมาประกอบการศึกษาความความเหมาะสมในการพัฒนาโรงงานบริหารจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ต้นแบบของประเทศ โดยมีระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่วันลงนาม และมีขอบเขตความร่วมมือ ดังนี้ กรอ. จะให้การสนับสนุนด้านข้อมูล ได้แก่ 1 ข้อมูลแนวโน้มซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ในประเทศไทย 2 ข้อมูลจากการพิจารณาแนวทางการเก็บรวบรวมซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่จากภาคอุตสาหกรรม และ 3 ข้อมูลจากการศึกษาทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมต่อการพัฒนาโรงงานบริหารจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ต้นแบบของประเทศไทย

** ดังนั้นในส่วนของ กฟผ. จะรับผิดชอบในการดำเนินงาน ได้แก่ 1 ศึกษาเทคโนโลยีการจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะสมสำหรับประยุกต์ใช้กับโรงงานบริหารจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ต้นแบบของประเทศไทย 2 ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโรงงานบริหารจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ต้นแบบของประเทศไทย ควบคู่กับการพิจารณาตามแนวทางการเก็บรวบรวมซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่จากภาคอุตสาหกรรมตามข้อมูล กรอ. 3 ศึกษาเทคโนโลยีและแนวทางการบริหารจัดการซากแบตเตอรี่ ที่อาจสามารถนำมาบูรณการกับโรงงานบริหารจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ต้นแบบของประเทศไทย

“ความร่วมมือระหว่าง กรอ. และ กฟผ. ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการบริหารทรัพยากรในประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้งยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ”