ไทยเบฟฯ ประกาศเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 83 วางกลยุทธ์ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน ควบคู่กับเสริมความแข็งแกร่ง



  • พร้อมน้อมนำปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
  • ที่ทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
  • ให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการผลิต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ประกาศกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน ทั้งโครงการและเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล พร้อมตั้งเป้าหมายบรรลุการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2583

ทั้งนี้ กลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยให้ไทยเบฟสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับเสริมความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจ การใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น และการยกระดับการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล นอกจากนี้ยังเป็นการตอกย้ำเป้าหมายของกลุ่มที่จะสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน (Enabling Sustainable Growth) ควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจในไทยและในภูมิภาคแห่งนี้ 

ด้วยการน้อมนำปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่จะทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาเป็นแนวทางในการพัฒนาด้านความยั่งยืนทุกมิติ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN SDGs) 17 ข้อ

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เราเชื่อมั่นว่าความสำเร็จของการขับเคลื่อนองค์กรภายใต้ PASSION 2025 นั้น จะเกิดจากการใส่ใจ และให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการผลิต รวมถึงการพัฒนาชุมชนรอบพื้นที่ปฏิบัติงาน การกำกับดูแลองค์กรและจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเชื่อมโยงทุกด้านของการพัฒนาสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารจัดการที่ดีภายใต้หลักธรรมาภิบาล เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ ทั้งในฐานะผู้ประกอบการองค์กรที่ดีของสังคม และผู้นำธุรกิจในภูมิภาค

กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของไทยเบฟเน้นการดำเนินงาน 3 ด้านและมีเป้าหมายชัดเจน

ด้านสิ่งแวดล้อม

-ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจากการดำเนินงานของกลุ่ม และจากพลังงานที่กลุ่มซื้อมา ให้เป็นศูนย์ภายในปี2583

-คืนน้ำสู่ธรรมชาติ และชุมชนให้ได้ 100% ของที่ใช้ไปภายในปี 2583

-ส่งมอบผลกระทบสุทธิเชิงบวกด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

ด้านสังคม

-เพิ่มการมีส่วนร่วมของพนักงานให้ได้มากกว่าหรือเท่ากับ 90% ภายในปี 2573

-80% ของรายได้จากธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ต้องมาจากเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพภายในปี 2573

-สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่า ไปสู่สังคมในมิติของการศึกษา สาธารณสุข กีฬา ศิลปะและวัฒนธรรม และการพัฒนาชุมชน และสังคม

การบริหารจัดการภายใต้หลักธรรมาภิบาล

-วางมาตรฐานด้านการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพให้ครอบคลุมทั้งกลุ่มไทยเบฟ

-100% ของคู่ค้ากลุ่มกลยุทธ์ต้องมีการจัดทำ และร่วมมือใช้จรรยาบรรณสำหรับคู่ค้าของตนเอง

-ผสานความร่วมมือสู่ผลกระทบเชิงบวกด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล

ไทยเบฟได้ดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนผ่านหลากหลายโครงการในปี 2564 สามารถบรรลุเป้าหมายแล้วดังนี้

-สามารถติดตั้งแผงผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาของโรงงานในไทย 5 แห่ง

-ขยายโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพเป็น 7 แห่ง สำหรับผลิตพลังงานความร้อนจากการเผาน้ำกากส่า ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการกลั่นแอลกอฮอล์ เพื่อใช้เป็นพลังงานในโรงงานแทนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง

-เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนภายในองค์กรเป็น 41.8%

-ลดการใช้น้ำลง 6.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สำหรับพื้นที่ที่มีการดึงน้ำจากแหล่งน้ำมาใช้มาก(water-stressed area)

-ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานของกลุ่มและจากพลังงานที่กลุ่มซื้อมาลงได้ 9.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน

-เปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานของบริษัทฯ เป็นครั้งแรก โดยมีหน่วยงานภายนอกร่วมยืนยัน

-นำขยะอาหารและของเสียอื่นๆ จำนวน 60.2% กลับมาใช้ใหม่เพื่อวัตถุประสงค์อื่น

-นำบรรจุภัณฑ์สินค้าจำนวน 82% กลับมาใช้ใหม่และรีไซเคิล

นอกจากนี้ อีกหนึ่งในความภาคภูมิใจของไทยเบฟ คือการที่บริษัทฯ ได้รับคัดเลือกเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มภายใต้ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) ถึง 4 ปีติดต่อกัน 

โดยในปี 2564 ไทยเบฟได้คะแนน 90 จาก 100 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดในกลุ่มบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันที่เข้าร่วมรับการประเมิน โดยได้คะแนนสูงสุดในด้านสังคม การกำกับดูแล และเศรษฐกิจ และได้คะแนนสูงเป็นอันดับสองในด้านสิ่งแวดล้อม 

นอกจากนี้ยังได้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืน DJSI World เป็นปีที่ 5 และ DJSI Emerging Markets เป็นปีที่6 ติดต่อกัน รวมถึงบริษัทฯ ยังเป็นแกนหลักของภาคเอกชนในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ด้วยการผสานเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และประชาชน ภายใต้โครงการประชารัฐรักสามัคคี เพื่อสร้างโอกาสให้กับชุมชนท้องถิ่น สร้างอาชีพและรายได้ 

รวมถึงเสริมสร้างความรู้และทักษะให้กับเยาวชน โดยมุ่งเน้นการทำงานใน 3 กลุ่มงาน ได้แก่ เกษตร การแปรรูป และการท่องเที่ยวโดยชุมชน ซึ่งปัจจุบันสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนแล้วมากกว่า 1,690 ล้านบาท โดยในปี 2564 ไทยเบฟได้ดำเนินกิจกรรมมากมายภายใต้โครงการประชารัฐรักสามัคคี เช่น โครงการโรงพยาบาลอาหารปลอดภัยและโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย

“ไทยเบฟ ตระหนักถึงความสำคัญ พร้อมมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจเพื่อให้บรรลุผลแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประการที่ 17 ขององค์การสหประชาชาติ (SDG 17) และได้ต่อยอดแนวทางการสร้างความยั่งยืนด้วยการร่วมก่อตั้งเครือข่ายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานแห่งประเทศไทย (Thailand Supply Chain Network – TSCN) ขึ้นเมื่อปลายปี 2562 เพื่อช่วยเหลือพันธมิตรทางธุรกิจขนาดกล่าง และขนาดย่อม”

ทั้งนี้ ล่าสุด บริษัทฯ ได้จัดงาน Sustainability Expo 2022 (SX 2022) มหกรรมด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ระหว่างวันที่ 26 ก.ย. -2 ต.ค. 2565 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยได้รับความร่วมมือจาก 5 องค์กรชั้นนำด้านความยั่งยืนของไทย และเครือข่าย TSCN ที่มาร่วมแบ่งปันแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืน ให้ผู้ร่วมงานได้รับประสบการณ์ตรงเต็มรูปแบบภายใต้แนวคิด “good balance, better world” ความสมดุลที่ดี เพื่อโลกที่ดีกว่า

 โดยงานนี้จะข่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนร่วมมือกันเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน และขยายเครือข่ายสังคมของการมีส่วนร่วม อันจะนำไปสู่การปฏิบัติที่ใช้ได้ผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง นอกจากจะเป็นการสร้างแพลตฟอร์มด้านความยั่งยืนมราเป็นการรวมตัวของเครือข่ายครั้งสำคัญแล้ว ยังช่วยสร้างการรับรู้ในหมู่คนรุ่นใหม่ และประชาชนทั่วไป ถึงความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนในรูปแบบที่เข้าใจได้ง่ายและสามารถนำไปปฏิบัติให้ได้ผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง

“ไทยเบฟ มุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย PASSION 2025 เพื่อครองความเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารครบวงจรที่มั่นคง ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียนสู่การเป็นผู้นำระดับโลก Stable and Sustainable ASEAN Leader ไปพร้อมกับการดำเนินธุรกิจที่ควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคมตามพันธกิจหลัก สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต”