

- ไตรมาส 3 รายได้หดตัว 17.98% กำไรลด 29.54%
- 9 เดือนแรกกำไรหด 8.42%
- พบผู้ประกอบการส่วนใหญ่ มั่นใจตลาดอสังหาฯ ได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาส 3 ปี 64
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการรวบรวมผลประกอบการไตรมาส 3 และ 9 เดือนปี 2564 ของ 36 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของทีม JNC พบว่า ผลประกอบการไตรมาสสาม ปี 2564 ของ 36 บริษัทอสังหาฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีรายได้รวม 66,609.86 ล้านบาท และ กำไรสุทธิ7,595.91 ล้านบาท ลดลง 17.98% และ 29.54% จากระยะเดียวกันปี 2563 ตามลำดับ ความสามารถในการทำกำไรโดยเฉลี่ย 11,40% ลดลงจาก 11.57% ในไตรมาสสองของปี 2564
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2564 ของ 36 บริษัทอสังหาฯ มีรายได้รวม 214,491.94 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 23,628.54 ล้านบาท ลดลง 1.56% และ 8.42% เทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563 ตามลำดับ ความสามารถในการทำกำไรเฉลี่ย 11.01% ลดลงจาก 11.85% ในครึ่งแรกของปี 2564 เป็นผลจากการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 และมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลตั้งแต่เดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา ประกอบกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้ผู้ซื้อชะลอการตัดสินใจ และผู้ประกอบการอสังหาฯ ชะลอแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงเวลาดังกล่าว

อย่างไรก็ตามบริษัทอสังหาฯ ที่รุกพัฒนาที่อยู่อาศัยในแนวราบอย่าง บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ยังคงรักษาความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำไรเพิ่มขึ้น 40.22% ในไตรมาสสามของปี 2564 โดยมีกำไรสุทธิ 1,737.78 ล้านบาท จากรายได้รวม 7,521.87 ล้านบาท หรือเติบโต 25.28% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563 ส่งผลให้ 9 เดือนแรก ปี 2564 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) มีรายได้รวม 18,521 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 4,234.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.85 % และ 74.70% ตามลำดับเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563
เช่นเดียวกับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ที่มีรายได้รวมในไตรมาสสาม 2564 4,123.01 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 62.40% จากระยะเดียวกันของปี 2563 และกำไรสุทธิ 759.09 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 5.17% เทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563 ขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทออริจิ้นฯ มีรายได้รวม 11,793.64 ล้านบาทและกำไรสุทธิ2,536.31 ล้านบาท หรือเติบโต 43.13% และ 20.50% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563 ตามลำดับ ขณะที่ผลประกอบการของผู้ประกอบการอสังหาฯ รายอื่นๆ ถึงแม้จะมีกำไรแต่ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563

อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการอสังหาฯ ส่วนใหญ่มั่นใจว่าตลาดอสังหาฯ ได้ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาสสามของปี 2564 และคาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาส 4 ของปี 2564
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า ในไตรมาส 2-3 ที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์โควิด-19 ที่มีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจนั้น ส่งผลให้การเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการลดลง รวมทั้งกำลังซื้อของผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยลดลงตามไปด้วย
อย่างไรก็ตามบริษัทฯในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศมีสถิติผู้ติดเชื้อลดลงอย่างมากจากช่วงกลางปี รัฐมีมาตรการผ่อนคลายการล็อคดาวน์ในประเทศ ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ประกาศผ่อนเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ มาตรการ LTV ปลดล็อกซื้อบ้านกู้เต็ม 100% ได้ทุกหลัง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทำให้เริ่มเห็นกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์กลับเข้ามาในตลาด บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด 12 โครงการ มูลค่ารวม 16,100 ล้านบาท แบ่งเป็น 8 โครงการแนวราบ มูลค่า 10,350 ล้านบาท รวมถึงเปิดตัว 4 โครงการคอนโดมิเนียม มูลค่า 5,750 ล้านบาท โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีการเปิดขายโครงการคอนโดฯแรกของปี 2564 คือ ศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน-ราชวัตร โดยได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากลูกค้า ซึ่งการเปิดขายรอบ Pre-sales ก็ได้กระแสตอบรับที่ดีเกินคาด โดยสร้างยอดขายไปได้มากกว่า 1,000 ล้านบาท ถือเป็นปรากฎการณ์ที่สวนกระแสตลาดอสังหาฯ ในช่วงเวลานี้เป็นอย่างมาก

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ให้ความเห็นว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปลายปี 2564 นับว่ามีแนวโน้มที่ดี จากปัจจัยหนุน ทั้งการผ่อนคลายมาตรการ LTV ที่นับเป็นการปลดล็อกตลาดอสังหาริมทรัพย์ และเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับมาคึกคักขึ้นเนื่องจากวงเงินของลูกค้าสามารถกู้ได้สูงขึ้น รวมถึงทิศทางที่ดีจากการเปิดประเทศที่คาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยทยอยฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด 19 ได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นไฮซีซันของการท่องเที่ยว และนับเป็นไตรมาสที่สำคัญของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากการที่ลูกค้าจะมองหาและตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ โดยแสนสิริเตรียมความพร้อมรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยจากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ

จากแนวโน้มดังกล่าว นายอุทัย กล่าวว่า บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวม 7 โครงการในไตรมาสสี่ของปีนี้ มูลค่ารวม 4,600 ล้านบาท รับสัญญาณเศรษฐกิจฟื้น แบ่งเป็น 4 คอนโดมิเนียม มูลค่ารวม 2,100 ล้านบาทและ 3 โครงการแนวราบ มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท รองรับความต้องการทุกเซกเมนต์และตอกย้ำความมุ่งมั่นของแสนสิริในการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการมีบ้านของคนทุกกลุ่ม