เอพี ไทยแลนด์ ลั่นกลองรบปีเถาะ ลุยเปิดตัวดุดัน 58 โครงการ มูลค่ารวม 7.7 หมื่นล้าน เตรียมหมัดเด็ดรุกตลาดบ้านหรูเอาใจเศรษฐีไทย!



  • วางกลยุทธ์ในการดำเนินงานภายใต้แผน 2023 AP INCLUSIVE GROWTH ที่สุดของปีกับการเติบโตร่วมกัน ผ่าน3 มิติ
  • ตั้งเป้ายอดขาย 58,000 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้ 57,500 ล้านบาท ชูไฮไลต์เด็ดส่งบ้านเดี่ยว เดินเกมส์ชิงแชร์ตลาดบ้านหรูราคา 20 – 100 ล้านบาท
  • ด้านธุรกิจทาวน์โฮมไม่น้อยหน้า เล็งครองผู้นำตลาดบ้านแฝดในเมือง จ่อส่งบ้านแฝด 3 ชั้น และ 2 ชั้นสู้สึก ชูจุดขายหน้ากว้าง 13.5 เมตร

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2566 นี้ถือว่าเริ่มมีสัญญาณที่ดี หลายธุรกิจเริ่มขยับตัวขึ้น ถึงแม้จะยังต้องเผชิญกับปัจจัยลบด้านอื่นๆ อยู่ แต่เชื่อว่าจากปัจจัยบวกทั้งในเรื่องของการท่องเที่ยว และการบริโภคภายในประเทศจะกระตุ้นเซนติเมนต์ที่ดีให้เกิดขึ้น ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ถ้าดูจากกราฟการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีที่ผ่านมา จะเห็นรูปแบบของกราฟที่เริ่มปรับตัวในทิศทางขาขึ้น สะท้อนได้ถึงภาพรวมตลาดที่เริ่มฟื้นตัวคืนกลับมาหลังได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 โดยมั่นใจได้ว่าในปีนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์น่าจะสดใส

วิทการ จันทวิมล

นายวิทการ กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้กำหนดให้เป็นที่สุดแห่งปีกับการพุ่งทะยานไปต่อ BREAKTHROUGH ทุกข้อจำกัด เพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดให้เกิดขึ้น โดยผลการดำเนินงานที่ผ่านมานั้น มากกว่าการสร้างNew High Record แต่คือการ BREAKTHROUGH ก้าวข้ามในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มากถึง 51 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 63,600 ล้านบาท ยอดขายสุทธิที่ทำได้เกินจากเป้าที่ตั้งไว้ที่ 50,415 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 44% รวมถึงยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และคาดว่าจะเกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นนั้นสะท้อนได้อย่างชัดเจนถึงความแข็งแกร่ง และความพร้อมที่เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการองค์กรภายในที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

สำหรับในปีนี้บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจภายใต้แผน 2023 AP INCLUSIVE GROWTH ที่สุดของปีกับการเติบโตร่วมกัน ด้วยแผนการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ควบคู่ไปกับการขยายภาคธุรกิจ โดยใช้ความชำนาญที่มีมาสร้างโอกาส และข้อได้เปรียบให้เกิดขึ้นในหลากหลายมิติ โดยจะดำเนินงานผ่าน 3 มิติ ดังต่อไปนี้ 

1.DIVE DEEPER IN PROPERTY BUSINESS ทำงานแบบเจาะลึก เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียม กลุ่มธุรกิจพัฒนาบ้านเดี่ยว และกลุ่มธุรกิจพัฒนาทาวน์โฮม โดยปีนี้บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าการทำงานที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น ด้วยแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มีมูลค่ามากที่สุดในตลาดจำนวน 58 โครงการ มูลค่ากว่า 77,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 22 โครงการ มูลค่า 34,800 ล้านบาท ทาวน์โฮมจำนวน 27 โครงการ มูลค่า 26,400 ล้านบาท คอนโดมิเนียม4 โครงการ มูลค่า 11,800 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ทั้งปีบริษัทฯ จะมีโครงการพร้อมขายทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมากกว่าถึง 192 โครงการ มูลค่ากว่า 165,600 ล้านบาทรวมถึงตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 58,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 57,500 ล้านบาท

2.HATCH NEW BUSINESS ต่อยอดความชำนาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการค้นหาช่องว่างตลาดใหม่ โดยจะนำทรัพยากรที่บริษัทฯ มีไปบ่มฟักนักคิด นักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ เพื่อต่อยอดสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ๆ ที่สามารถนำกลับมาสนับสนุนธุรกิจในระยะยาวแบบองค์รวม ทั้งในมิติธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบใหม่ๆ หรือเพื่อเสริมธุรกิจอื่นๆ ในเครืออย่าง สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเมนท์ (SMART) หรือ บางกอก ซิตี้สมาร์ท (BC) พร็อพเพอร์ตี้โบรกเกอร์แบบครบวงจร เป็นต้น 

โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเปิดตัว FitFriend เทรนเนอร์เดลิเวอรี่ ตอบโจทย์เทรนด์ในเรื่องของสุขภาพ ซึ่งในปีที่ผ่านมา FitFriend มีคนใช้บริการมากกว่า 6,000 คลาส ซึ่งวันนี้เรามีเทรนเนอร์อยู่ในระบบมากกว่า100 คน ซึ่งทุกคนผ่านการรับรองจากสถาบันชั้นนำ และผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม จึงมั่นใจได้ในมาตรฐานของเทรนเนอร์ที่ไม่ต่างจากการใช้บริการในฟิตเนสชื่อดัง อีกทั้งวันนี้ FitFirend ยังสเกลอัพไปเป็นอีกหนึ่งเซอร์วิส ภายใต้การบริหารจัดการของสมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเมนท์ เพื่อให้บริการแก่ลูกบ้านที่สมาร์ทบริหารจัดการกว่า 370 โครงการอีกด้วย

3.PEOPLE & SOCIAL ร่วมขับเคลื่อนสังคมให้เติบโตไปร่วมกัน ด้วยการสานต่อความตั้งใจจะเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพคน ด้วยการมอบทักษะแห่งอนาคตแก่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในเครือ นิสิตนักศึกษา หรือบัณฑิตผู้พิการ เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนมีชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ ผ่านโครงการเพื่อสังคมต่างๆ ที่ทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น AP OPEN HOUSE โปรแกรมฝึกงานในฝันของนิสิตนักศึกษาทั่วประเทศ หรือแคมเปญ I AM POWER ที่จัดขึ้น เพื่อเอ็มพาวเวอร์บัณฑิตผู้พิการให้มีโอกาสเข้าถึงทักษะการทำงานใหม่ๆ

“ในปี 2566 บริษัทฯ ตั้งงบซื้อที่ดินไว้ที่ 20,000 ล้านบาท โดยโครงการที่วางแผนเปิดในปีนี้มีที่ดินรองรับเรียบร้อยแล้ว ในส่วนของยอดการปฏิเสธสินเชื่อในปีที่ผ่านของบริษัทฯ อยู่ที่ 15-20%” นายวิทการ กล่าว

เมธา รักธรรม

นายเมธา รักธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าทาวน์โฮม บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจทาวน์โฮมของบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะด้านยอดขายที่เติบโตกว่า 30% ในปีที่ผ่านมา และโตกว่า 90% หากเทียบกับปี 2562 สำหรับในปี 2566 นี้ กลุ่มธุรกิจทาวน์โฮมตั้งเป้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อยังคงครองภาพการเป็นผู้นำตลาดทาวน์โฮมในเมือง ในปีนี้เตรียมเปิดตัวทาวน์โฮมใหม่ 27 โครงการ มูลค่า 26,400 ล้านบาท ครอบคลุมครบทั้ง 6 Sub-Brand ตั้งแต่ระดับราคา 1.69 – 25 ล้านบาท 

ทั้งนี้ไฮไลต์สำคัญในการพัฒนาโครงการปีนี้คือ การขยายพอร์ตสินค้าในกลุ่มบ้านแฝดมากยิ่งขึ้น ด้วยแบรนด์บ้านกลางเมือง THE EDITION (ดิ อิดิชั่น) ซึ่งเป็นแบรนด์บ้านแฝด 3 ชั้น ที่มีหน้ากว้างที่มากสุดถึง 12.8 เมตร ราคา 8-12 ล้านบาท และ GRANDE PLENO (แกรนด์ พลีโน่) เป็นบ้านแฝด 2 ชั้น หน้ากว้าง 13.5 เมตร ราคา 6-8 ล้านบาท รวมถึงการเปิดตัวลักชัวรีทาวน์โฮม ซึ่งทำเลใหม่ในปีนี้คือ บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ รัชโยธิน คาดว่าจะพร้อมเปิดตัวในช่วงประมาณไตรมาส 3 ปีนี้

“ในปีนี้บริษัทฯ จะเน้นพัฒนาสินค้ากลุ่มบ้านแฝดลุยสู้ศึก เนื่องด้วยเป็นสินค้าที่มีช่องว่างที่ทำตลาดได้ อีกทั้งบริษัทฯก็ถือเป็นเจ้าตลาดในสินค้าบ้านแฝด โดยบ้านแฝดแบรนด์บ้านกลางเมืองปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 70% ส่วนแกรนด์ พลีโน่ ก็ติดอันดับ 1 ใน 3” นายเมธา กล่าว

ด้านนายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บริษัท เอพีไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในส่วนของกลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวในปีนี้ จะยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ทั้งในมิติด้านมูลค่าโครงการและจำนวนโครงการที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โดยในปี 2566 บริษัทฯเตรียมเปิดบ้านเดี่ยวใหม่ จำนวน 22 โครงการ มูลค่า 34,800 ล้านบาท โดยไฮไลต์สำคัญคือ การรุกเข้ากินแชร์ตลาดบนใน 2 เซกเมนต์ คือ บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีราคา 20 – 50 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวระดับซุปเปอร์ลักชัวรีราคา50 – 100 ล้านบาท 

รัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ

โดยบริษัทฯ เตรียมเปิดตัว THE CITY (เดอะ ซิตี้) บ้านเดี่ยวโมเดลใหม่ ขนาดพื้นที่ 100-127 ตารางวาพื้นที่ใช้สอยประมาณ 386-560 ตารางเมตร ใน 3 โครงการ ได้แก่ เดอะ ซิตี้จรัญฯ – ปิ่นเกล้า จำนวน 58 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท ซึ่งจุดเด่นของโครงการนี้คือแบบบ้านสไตล์อังกฤษ พร้อมห้องใต้หลังคา ที่มีให้เลือก 4 โมเดล, เดอะ ซิตี้ปิ่นเกล้า-บรมฯ 3 จำนวน 68 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,420 ล้านบาท กับแบบบ้าน 3 แบบในสไตล์ Modern Classic และ เดอะ ซิตี้สุขุมวิท-อ่อนนุช 2 จำนวน 64 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,380 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 3 โครงการ พร้อมเปิดขายในไตรมาส 1 ปีนี้

“ในปีนี้กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวจะไม่หยุดนิ่งที่จะมองหาโอกาสในการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวในทำเลเมือง โดยบริษัทฯ มีเป้าที่จะเปิดตัวโครงการบ้านกลางกรุง บ้านเดี่ยวขนาด 4 – 5 ชั้นในทำเลเมือง หลังจากที่โครงการบ้านกลางกรุงสาธุประดิษฐ์ – พระราม 3 ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2564 ประสบความสำเร็จ รวมถึงการอัพสเกลคฤหาสน์หรู THE PALAZZO (เดอะ พาลาสโซ่) เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มมั่งคั่งในระดับราคา 70-100 ล้านบาท ทั้งนี้ปัจจุบันตลาดบ้านหรูน่าสนใจมาก โดยมีผู้เล่นในตลาดประมาณ 3 บริษัท ซึ่งในปีที่ผ่านตลาดนี้มียอดขายสูงถึง 20,000 ล้านบาท” นายรัชต์ชยุตม์ กล่าว

นางสาวกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม บริษัทเอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2566 นี้ น่าจะฟื้นตัวกลับเข้าสู่ภาวะใกล้เคียงกับปีก่อนเผชิญโควิด-19 ซึ่งหากดูจากยอดขายคอนโดมิเนียมในเครือเอพีในปีที่ผ่านมา จะพบว่ามีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า หรือคิดเป็น 11,440 ล้านบาท โดยในปีนี้กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมเตรียมเปิดตัว 4 โครงการ มูลค่ารวม 11,800 ล้านบาท 

กมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม

ทั้งนี้ นอกจากแผนการเปิดตัวโครงการใหม่แล้ว ในปีนี้สิ่งหนึ่งที่ทางกลุ่มธุรกิจคอนโดฯ จะร่วมผลักดันให้เป้าหมายInclusive Growth ในภาพใหญ่ประสบความสำเร็จนั้น ประกอบด้วย การสานต่อความร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับทางมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ซึ่งปีนี้ถือเป็นการครบรอบ 10 ปีของความร่วมมือระหว่างเอพี ไทยแลนด์ กับทางมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป โดยที่ผ่านมาทั้ง 2 บริษัทพัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมกันมาแล้วทั้งสิ้น 21 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 100,000 ล้านบาท และยังคงมีแนวคิดร่วมกันที่จะผลักดันการพัฒนาคอนโดมิเนียมให้ตอบโจทย์การอยู่อาศัยร่วมกันของทุกคนมากยิ่งขึ้น 

นอกจากนั้น ในปีนี้กลุ่มธุรกิจคอนโดฯ ยังเตรียมส่งมอบ 4 โครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ มูลค่ารวมกว่า 16,200 ล้านบาท โดยมีทั้งในเซกเมนต์ Prestige Lux อย่าง ดิ แอดเดรส สยาม-ราชเทวี คาดว่าจะพร้อมส่งมอบไตรมาส 3 ปีนี้ คอนโดมิเนียมในเซกเมนต์ลักชัวรี กับริธึ่ม เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน ที่เปิดตึกพร้อมโอนกรรมสิทธิ์เป็นที่เรียบร้อย และแอสปาย จำนวน 2 โครงการ กับ แอสปาย ปิ่นเกล้า-อรุณอมรินทร์ และ แอสปาย รัตนาธิเบศร์ เวสต์ตัน ซึ่งทั้ง 2 โครงการ เป็น ASPIRE คอนโด ในคอนเซ็ปต์ใหม่ที่ก่อสร้างเสร็จเป็น 2 โครงการแรก