

- ”กอบศักดิ์” คาดปีนี้กนง.ขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อ 3 รอบ
- รวมขึ้น 0.75% ทำดอกเบี้ยไทยมาอยู่ที่ 1.25% จาก 0.5%
- ชี้ราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มลดลงช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อ
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ “Economic Turbulence 2022 เศรษฐกิจ วิกฤตซ้อนวิกฤติต้องรับมืออย่างไร” ระหว่างการอบรมโครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง (พศส.) ปี 65 Next Chapter for Wealth : เปิดโลกสร้างความมั่งคั่งสู่ความมั่นคง จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงเทพ และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ว่า ในปัจจุบันแม้ว่าโควิด-19 คลี่คลายลง แต่เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน ถือเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤตที่ต้องเตรียมการรับมือ ได้แก่ วิกฤติความขัดแย้งระหว่างประเทศ วิกฤติราคาพลังงานและอาหารโลก ความปั่นป่วนของตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก
ขณะที่การเร่งการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพื่อต้อสู้กับเงินเฟ้อ ส่งผลให้ธนาคารกลางหลายประเทศต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น จนเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเศรษฐกิจถดถอยทั้งในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ รวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤติในประเทศตลาดเกิดใหม่ และปัญหาของเศรษฐกิจจีนที่มีสัญญาณชะลอตัว ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจนในช่วง 1-2 ปี โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่จะชะลอตัวลงจากเดิม

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในขณะนี้ได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปีนี้ไปจนถึงต้นปี 66 จะเพิ่มขึ้น หรือคาดจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยเดือนละประมาณ 1 ล้านคน โดยรวมปีนี้ประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยภาพรวม เนื่องจากมีสัดส่วนประมาณ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)
ทั้งนี้ เมื่อการท่องเที่ยวฟื้นตัวและส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่คาดภายในปีนี้จะปรับขึ้นครั้งละ 0.25% รวม 3 ครั้ง หรือปรับขึ้นรวม 0.75% มาอยู่ที่ 1.25% จากปัจจุบที่ 0.50% เพื่อช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อ และชะลอการลดลงของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ที่ลดลงจาก 260,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มาอยู่ที่ 215,000 ล้านเหรียญฯ หรือลดลงราว 45,000 ล้านเหรียญฯจากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมาอยู่ที่เกือบ 37 บาท/เหรียญฯ
“ตัวเลขเงินเฟ้อเป็นตัวเลขที่แบงก์ชาติต้องจับตาดูเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ย โดยเงินเฟ้อทั่วไป ล่าสุดอยู่ที่ 7.66% แต่เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 2.58% ถือว่าไม่สูงมากนัก ดังนั้นการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติอีก 0.75% เพื่อให้ดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ 1.25% ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19 คาดว่าเป็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ จากนั้นจะต้องดูปัจจัยอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ แต่คาดว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยคงเกิดขึ้นต่อไปอีกระยะ”
สำหรับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มีแนวโน้มลดลงจากที่เคยสูงไปถึง 130-140 เหรียญฯต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 90-100 เหรียญฯต่อบาร์เรล เพราะรัสเซียได้เริ่มส่งออกน้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งมีความกังวลเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ซึ่งจะมีผลทำให้เงินเฟ้อลดลง และช่วยให้การต่อสู้กับเงินเฟ้อของเฟด และธนาคารกลางทั่วโลกง่ายขึ้น
นายกอบศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในช่วงวิกฤติซ้อนวิกฤตเกิดรอบนี้จะกินเวลาประมาณ 2 ปี และมีช่วงเวลาในการเผชิญกับวิกฤติรวมทั้งต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจแบ่งเป็น 4 ช่วง ได้แก่ ช่วงแรกเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงมีการปรับฐานที่รุนแรง ช่วงที่สองคือการที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ ช่วงที่สามเป็นช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในทั่วโลก รวมถึงประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จากผลกระทบของเฟดขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วและแรงกว่าคาด และช่วงที่สี่เป็นช่วงสุดท้ายที่กำลังจะผ่านวิกฤติเศรษฐกิจคือเป็นช่วงที่เฟด และธนาคารกลางประเทศต่างๆ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่
“โอกาสของไทยในช่วงเวลานี้ ต้องสะสมพลังเพื่อทำให้เศรษฐกิจไปต่อได้ โดยเฉพาะกระตุ้นการท่องเที่ยว เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และสนับสนุนการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับประเทศ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ มอเตอร์ไซด์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน ระบบโลจิสติกส์สมัยใหม่ ภาคเกษตรและอาหารแห่งอนาคต อุตสาหกรรมปุ๋ยเพื่อทดแทนการนำเข้า เป็นต้น ส่วนประชาชน หรือนักลงทุนบุคคลทั่วไป ต้องติดตามข่าวสารและประเมินสถานการณ์ในแต่ละช่วงของวิกฤติ หากประเมินได้อย่างถูกต้อง ก็สามารถเก็บออมเงินสดบางส่วนไว้เพื่อรอการลงทุนในรอบใหม่ภายหลังจากที่วิกฤติต่างๆ เริ่มคลี่คลาย ซึ่งการลงทุนในช่วงหลังวิกฤติ มีโอกาสสดใส”