“อาคม” เล็งแยกเงิน “เบี้ยคนชรา-บำนาญจากญาติเสียชีวิต” ชี้คนสูงวัยควรได้เงินของตนเองเมื่ออายุ 60 ปี



  • เตรียมเรียกบัญชีกลาง-อปท.หารือเรื่องนี้
  • “บัญชีกลาง” ยันไม่มีหน้าที่เรียกคืนเบี้ยยังชีพคนชรา
  • กรมฯทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมตรวจสอบคุณสมบัติเท่านั้น

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า สำหรับกระแสข่าวที่มีการเรียกเงินเบี้ยยังชีพจากคนชรา เนื่องจากเป็นผู้มีสิทธิรับเงินบำนาญข้าราชการนั้น ขอชี้แจงว่า ใครก็ตามที่ได้รับบำนาญจากภาครัฐไม่มีสิทธิได้รับเบี้ยผู้สูงอายุ เพราะถือว่าเป็นเงินของภาครัฐตามกฎหมาย ดังนั้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) จะต้องเข้าไปเจรจาเพื่อขอคืน ซึ่งจะไม่ได้ให้จ่ายเป็นก้อนเดียว แต่จะให้ทยอยคืนเป็นงวดๆ

“ในอนาคตเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาลักษณะเตรียมจะเรียกกรมบัญชีกลาง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) เข้ามาคุยกันว่า เงินในส่วนที่ผู้สูงอายุควรได้เมื่ออายุ 60 ปีขึ้นไป ไม่ควรนำมาปะปนกับเงินบำนาญที่เกิดจากการสูญเสียญาติพี่น้อง หรือมรดกตกทอด เพราะเงินผู้สูงอายุถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ผู้สูงวัยควรได้รับเฉพาะผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบหลักประกัน หรือรับข้าราชการควรแยกออกจากกันให้ชัดเจน”

นางนิโลบล แวววับศรี รองอธิบดี ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลางเปิดเผยถึงกรณีกระแสข่าวการเรียกเงินเบี้ยยังชีพจาก ว่า กรมบัญชีกลางเป็นเพียงหน่วยงานที่ตอบข้อซักถามจากกระทรวงมหาดไทยว่าบุคคลที่มีรายชื่อที่ส่งมานั้น เป็นบุคคลที่มีสิทธิรับเงินบำนาญหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมากรมฯได้ตอบข้อซักถามไปเพียง 1 รายเท่านั้น ทั้งนี้ หนึ่งในเงื่อนไขการรับเงินเบี้ยยังชีพคนชรา คือ จะต้องไม่เป็นบุคคลที่รับเงินบำนาญด้วย

“เมื่อมีการตรวจสอบพบว่า มีคนชรารับเงินเบี้ยยังชีพคนชราและเงินบำนาญไปพร้อมๆกัน ในทางปฏิบัติแล้วบุคคลนั้นๆ จะต้องคืนเงินเบี้ยยังชีพ ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันกับคนชรานั้นๆ จะทำหน้าที่เรียกเงินคืน ดังนั้น จึงไม่ใช่หน้าที่ของกรมบัญชีกลาง ทั้งนี้ เมื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเรียกเงินคืนได้แล้ว จะมีหน้าที่นำเงินดังกล่าวส่งคืนเข้าคลังหลวง เพราะถือเป็นเงินของแผ่นดิน”

ส่วนเมื่อถามว่าเหตุใดจึงเพิ่งมีการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวทั้งที่การจ่ายเงินคนชราเริ่มมาตั้งแต่ปี 2552  นั้น การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกรมบัญชีกลางในเรื่องดังกล่าว เพิ่งจะมีการเชื่อมโยงอย่างสมบูรณ์เมื่อปี 2563 ดังนั้น ข้อมูลที่พบว่า มีการรับเงิน 2 ทาง คือ ทั้งเบี้ยยังชีพคนชราและเงินบำนาญจึงเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตามแม้จะมีการเรียกเงินคนชราคืนแต่เงินบำนาญยังคงจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิตามกฎหมาย ยกตัวอย่าง กรณีนางบวน โล่สุวรรณ อายุ 89 ปี ชาวบ้านจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งถูกเรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพจำนวน 84,000 บาทเนื่องจากได้รับเงินบำนาญกรณีลูกชายเป็นทหารเสียชีวิตจากเหตุคลังแสงระเบิดนั้น ขณะนี้ ทางกรมฯก็ยังจ่ายเบี้ยยังชีพให้เดือนละ10,000 บาท