

- ลั่นชัดในงานสัมมนาสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง
- แต่เศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตต่อเนื่อง เหตุได้รับอานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยว
- เผยคลังเร่งเดินหน้านโยบายการคลังสู่ภาวะปกติหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย
- พร้อมหารือ ธปท.ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจ หวังปัจจัยลงทุน ใช้จ่ายหนุนจีดีพีโต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (15 ก.พ.66) สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ได้จัดงานสัมมนา Thailand’s Future Economic Forum 2023 ภายใต้หัวข้อ “ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2566” พร้อมพิธีมอบรางวัล CEO Econmass Awards 2022 โดยมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เป็นผู้มอบรางวัล พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจปี2566” ว่า ในปีนี้เศรษฐกิจแระเทศไทยจะค่อยๆ ฟื้นตัว โดยธุรกิจท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่องที่กำลังฟื้นตัว จะเป็นตัวขับช่วยเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยเกินความคาดหมาย ซึ่งการฟื้นตัวในครั้งนี้ จะไม่ฟื้นตัวแบบ U-Shaped หรือ V-Shaped แต่จะเป็นลักษณะ K-Shaped ที่เติบโตแบบช้าๆ แต่มั่นคงและยั่งยืน

ขณะที่ภาคธุรกิจส่งออกของไทย มีทิศทางที่ชะลอตัวลง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยยอดการส่งออกของไทยชะลอตัวลงมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ของปี 65 ที่ผ่านมา แต่ยังโชคดีที่ค่าเงินบาทอ่อนค่า ทำให้มูลค่าไม่ได้ลดลงมาก
นายอาคม กล่าวด้วยว่า จากนี้ภาคการส่งออกของไทย คงต้องให้ความสำคัญในการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น การมองหาตลาดใหม่ๆ รวมถึงการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) สามารถส่งออกสินค้าได้ เพื่อชดเชยการส่งออกที่หายไป
“แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง แต่เศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตต่อเนื่อง เพราะได้รับอานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยว ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาเกินจากที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งกระทรวงการคลัง และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตในกรอบ 3-4% โดยกระทรวงการคลัง ได้ติดตามสถานการณ์ และวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิดในทุกไตรมาส เพื่อเตรียมความพร้อมและเตรียมมาตรการไว้รองรับ” นายอาคม กล่าว

นายอาคม กล่าวด้วยว่า จากภาวะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่ยังมี แต่ด้านฐานะทางการคลังยังแข็งแกร่ง โดยปัจจุบันจากการขยายเพดานเงินกู้ ส่งผลให้ไทยยังมีพื้นที่ทางการคลัง และมีช่องว่างที่จะกู้เงินเพิ่มเติมได้ถึง 10% ของจีดีพี ในกรณีที่เกิดวิกฤติและต้องหาเงินช่วยเหลือเพื่อบรรเทาเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้น โดยไม่เสียวินัยทางการคลังด้วย ประกอบกับปัจจุบันหนี้ต่างประเทศของไทยมีสัดส่วนน้อยกว่าเงินกู้ในประเทศ ส่งผลให้ฐานะการเงินการคลังของไทยยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง
“วันนี้หนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ 60.67% ต่อจีดีพี ซึ่งหากใช้เกณฑ์เดิมเกินมา 0.67% วันที่ปรับเพดานเพื่อความปลอดภัยในเรื่องข้อกฎหมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อมีพื้นที่เราต้องกู้หมด เราต้องดูโครงการที่ยังมีโครงการลงทุนต่างๆของภาครัฐที่อาศัยเงินกู้ การกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องของรัฐวิสาหกิจซึ่งโดยส่วนใหญ่ไม่ได้ค้ำประกันจึงไม่ได้เป็นหนี้สาธาณะ จึงต้องดูให้ดีว่าเป็นการก่อหนี้เพื่ออะไร แต่หนี้ส่วนใหญ่ 80% เป็นเรื่องของการลงทุนและมีผลต่อการเติบโตในระยะยาว เราบริหารในเรื่องการเงินการคลัง การประสานงานกันระหว่างกระทรวงการคลังและธปท.”นายอาคม กล่าว
รวมถึงในปีนี้ยืนยันว่า การใช้จ่ายของภาครัฐบาลยังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในด้านของการลงทุน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเติบโตในอนาคต ส่วนในเรื่องงบประมาณในปี 66 รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณขาดดุล 695,000 ล้านบาทลดลงจากปีก่อนที่ประมาณ 700,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 67 ตั้งงบประมาณขาดดุล 593,000 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ 66 ที่ 102,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าค่อนข้างมาก
“การตั้งงบประมาณต้องวางแผนให้มีเหตุมีผล เมื่อไหลที่ขาดดุลนานจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่กระทรวงการคลังยืนยันตลอด คือ นโยบายการคลังที่ยั่งยืน ไม่เฉพาะไทยเท่านั้นแต่ประเทศอื่นก็ทำลักษณะเดียวกัน เมื่อโควิดหมด ต้องทำนโยบายกลับเข้าสู่ภาวะปกติ” นายอาคม กล่าว
ด้านการดำเนินนโยบายนั้น ยืนยันว่า นโยบายการเงิน และการคลังต้องสอดประสานและทำงานร่วมกัน โดยการดูแลในเรื่องเป้าหมายเงินเฟ้อ การใช้นโยบายการเงินการคลัง เพื่อดูแลเงินเฟ้อนั้นเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และการทำนโยบายการเงินนั้น ต้องดูการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยไม่สร้างต้นทุนให้ธุรกิจมากเกินไป และไม่สร้างต้นทุนให้ครัวเรือน ซึ่งเป็นหนี้สินอยู่แล้ว

ส่วนกรณีที่ถามว่า เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ยอมรับว่า ไทยมีผลอยู่บ้าง สะท้อนจากภาคการส่งออกที่เริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวลง ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ การค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน การค้าชายแดน รวมถึงการหาตลาดใหม่ๆ มาชดเชยการส่งออกในบางส่วนที่หายไป
นายอาคม กล่าวว่า สิ่งที่อยากจะย้ำในปี 66 นี้ คือตัวที่จะทำให้เศรษฐกิจไปได้ คือ การลงทุน ปีนี้เรื่องการลงทุนของภาคเอกชน การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานควรเร่งตัวขึ้น เพราะปีที่ผ่านมาอัตราการลงทุนของไทยค่อนข้างช้า จากข้อจำกัดด้านโควิด ทำให้กำลังแรงงานมีปัญหา การติดโควิดในไซต์งาน ดังนั้นในปีนี้ แรงขับเคลื่อน คือ การลงทุนโครงการอีอีซีจะมีนัยสำคัญของการสร้างการเติบโตในปีต่อๆ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คิดว่าจะมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจของไทยในอนาคต 2 เรื่อง คือ เรื่อง Digital และ Green โดยการที่จะให้ประเทศของไปสู่ความทันสมัย การใช้เทคโนโลยี อินเตอร์เน็ต แอปพลิเคชั่น แพลตฟอร์ม 5G ต่างๆ ล้วนเป็นดิจิทัลอินฟาสตักเจอร์ ที่ทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ แต่ต้องไม่ลืมผลลบ เมื่อเปิดมากก็เปิดช่องให้มิจฉาชีพเช่นที่เผชิญทุกวันนี้ เกิดการแฮกข้อมูล การหลอกลวงมีทุกช่องทาง ดังนั้นการเกิดระบบรักษาความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องสำคัญ