“ออมสิน”เร่งแก้หนี้-ป้องกันหนี้เสีย เน้นปล่อยสินเชื่อตามนโยบายรัฐเป็นหลัก



  • ตั้งเป้าลดต้นทุนให้ได้ 8 พันล้านบาท
  • 2 เดือนแรกยังดี มีกำไร 9.2 พันล้านบาท
  • ตั้งเป้ากำไรหลังหักสำรองหนี้สงสัยจะสูญ 1.8 หมื่นล้านบาท

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสินเปิดเผยว่า ในปีนี้ จะเป็นปีที่ธนาคารให้น้ำหนักสำหรับการแก้ไขปัญหาหนี้เสียมากกว่าการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจาก เห็นว่า การปล่อยสินในขณะนี้ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงของหนี้ที่จะทำให้ธนาคารต้องตามแก้ไข อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ปล่อยสินเชื่อเลย แต่จะเน้นปล่อยสินเชื่อตามนโยบายรัฐเป็นหลัก

“ตอนนี้ ผมเปลี่ยนภารกิจมาเป็นเรื่องแก้หนี้แล้ว ส่วนการปล่อยสินเชื่อนั้น ผมจะทำเท่าที่นโยบายรัฐบาลออกมา นี่คือทิศทาง ผมก็วิ่งตามแนว ฉะนั้น ปีนี้ นอกจากทำเรื่องโซเชียลแบงก์แล้ว จะต้องทำเรื่องป้องกันหนี้เสีย การป้องกัน คือ ทำให้ควบคุมได้ และ ช่วยเขาด้วย ฉะนั้น 6 เดือนแรกไม่เน้นขยายสินเชื่อ เน้นทำโครงการรัฐยาวๆ แต่รายได้จะมาจากสินเชื่อฐานเดิมและลดต้นทุน ปีนี้จะลดต้นทุน 8, 000 ล้านบาท”

สำหรับผลประกอบการใน 2 เดือนแรกนั้น ธนาคารมีกำไรอยู่ที่ 9,200 ล้านบาท แต่ต้องยอมรับว่า ในจำนวนนี้ มีส่วนนี้ เป็นกำไรจากการมาร์คดอกเบี้ย 2,000 ล้านบาท ดังนั้น กำไรจากโอเปอร์เรชั่นจริง 7, 500 ล้านบาท ถ้าเทียบปีที่แล้ว โดยหลัก 2 เดือนแรกจะเท่าเดิมหรือขาดทุน เพราะหนี้เสียไหล ทั้งนี้ ทั้งปีตั้งเป้าหมายกำไรหลังหักสำรองหนี้สงสัยจะสูญ 18,000 หล้านบาท

“จะไม่เน้นขยายสินเชื่อในครึ่งปีแรก เพราะถ้าปล่อยกู้ตอนนี้ ด้วยฐานลูกค้าเราที่เสี่ยง ปีหน้าก็จะต้องเข้ามาแก้ปัญหาหนี้เสีย เราทำตามเท่าที่จำเป็น คือ นโยบายรัฐ และ ทั้งหลาย การแก้หนี้ต้องทำคือช่วยเขาและช่วยเราด้วย เพราะที่ผ่านมา เรามีสำรองน้อยมาก หนี้เสียจะไหล แบงก์จะขาดทุนได้ ถ้าไม่คิดเรื่องหนี้เสีย ปีนี้จะกำไรไฮโซมาก เพราะลดต้นทุน”

นายวิทัย กล่าวต่อว่า แม้กำไรทั้งปีจะน้อย เพราหนี้เสียจะไหล แต่พอร์ตเราจะแข็งแรง เพราะเอากำไรมาตั้งเป็นสำรองให้แบงก์แข็งแรง เวลาแบงก์แข็งแรงต้องหาความสมดุลระหว่างกำไรระยะสั้นในปีกับความมั่นคงระยะยาว

“เราต้องยอมหยอดกระปุก จะเห็นว่า 3-4 ปีที่ผ่านมา แบงก์พาณิชย์อื่นกำไรตกหมด เพราะสำรอง เขาก็มีเป็นแสนล้าน เขามั่นคงยาว แต่ของเรายังสำรองต่ำ ทั้งนี้ ทั้งปีเราคาดกำไรหลังสำรองอยู่ที่ประมาณ 18, 000 ล้านบาท”

ทั้งนี้ การที่เราเป็นโซเชียลแบงก์ นี่คือ ดูออลแทรกซ์ คือ ธุรกิจปกติธนาคารก็ทำ เพื่อให้มีกำไรพอเพียงเหมาะสม และทำธุรกิจเพื่อสังคม โดยเอากำไรจากธุรกิจปกติมาหนุนธุรกิจเพื่อสังคม และสิ่งไหนที่เหนือบ่ากว่าแรงก็ทำโซเชียลแบงก์ได้โดยการที่รัฐบาลเข้ามาสนับสนุน ฉะนั้น ส่วนแรกเราทำเองจากเอากำไรจากธุรกิจปกติมาหนุน หรือ ไปทำธุรกิจที่มีกำไรส่วนเกิน เช่น จำนำทะเบียน แต่บางเรื่องอาจเหนือบ่ากว่าแรงก็ให้รัฐช่วย

“เวลาเป็นโซเชียลแบงก์ เราทำดูอัลแทรกซ์ เป้าหมาย คือ ลดเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหายากจน ทีนี้เวลาพูดมันเป็นนามธรรม ถามว่า ลดความเหลื่อมล้ำเป็นรูปธรรม คือ อะไร ต้องช่วยให้ฐานรากที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบแต่เดิมได้ ต้องไปพึ่งการกู้ยืมนอกระบบดอกเบี้ยสูงให้เข้ามาอยู่ในระบบให้ได้ นี่คือ เป้าหมายที่หนึ่ง ฉะนั้น ต้องช่วยให้คนฐานรากเข้าถึงแหล่งทุนนี้ให้ได้ สอง ต้องลดดอกเบี้ยในตลาดที่แพงเกินจริงเกิดความเป็นธรรมให้ได้”

นอกจากนี้ต้องขอบคุณรัฐบาล คือ ธนาคารทำโครงการนี้ไม่ได้ ถ้ารัฐบาลไม่ช่วย เพราะคนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูง ฉะนั้น จะทำไม่ได้ นอกจากจะได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล มันไม่ใช่ธุรกิจที่ผมใส่กำไรบางส่วนไปช่วย หรือ ใช้ส่วนต่างดอกเบี้ยที่แพงมาช่วย อันนี้ เป็นกลุ่มที่ต้องอุดหนุน ที่ผ่านมา รัฐบาลอุดหนุน แต่ไม่ได้เอามาทำอย่างที่ผมทำ โดยรัฐบาลหนุนด้วยหนี้เสีย

“ยกตัวอย่าง สินเชื่อที่ผมปล่อยไปเมื่อปีที่แล้ว รายย่อย เช่น ฉุกเฉิน โควิดหมื่นบาท รายได้ประจำ 50,000 บาท เสริมพลังฐาน 50,000 บาท 3 ตัวนี้ ได้รับการชดเชยกรณีเกิดหนี้เสีย แต่เดิมเคยมีชดเชย แต่ไม่ได้สนใจเข้าไปบุกกลุ่มนี้ ตัวเลขที่เราปล่อยไป 10 เดือนที่ผ่านมา เราปล่อยให้คนที่ไม่มีประวัติเครดิต ไม่มีบูโร คือ ไม่เคยกู้ทั้งแบงก์และนอนแบงก์ โดยผมปล่อยไป 1.7 ล้านคน คนกลุ่มนี้เดินไปหาสินเชื่อที่แบงก์ให้ตายก็ไม่ได้กู้ เพราะไม่มีประวัติสินเชื่อใดๆเลย”

นอกจากนี้ ยังพัฒนาโครงการ”มีที่มีเงินเพื่อการท่องเที่ยว” วันเดียวลงทะเบียนเต็มหมด 1.5 หมื่นบาท แต่ก็อนุมัติไล่ตามอยู่ การที่ทำโดยไม่ตรวจบูโรมันก็ทำมากไม่ได้ ก็มีความเสี่ยงเหมือนกัน แต่โปรเจ็กต์นี้ ก็มีกำไร เอาง่ายๆ ดอกเบี้ย 5.99% ถ้าปล่อยหมื่นล้านก็ได้ปีละ 600 ล้านบาท 3 ปี ก็ 1,800 ล้านบาท ปล่อยโดยเฉลี่ย 4 ล้านบาทต่อราย ถ้ามากู้ 4 ล้านบาทแล้วเบี้ยว อีก 3 ปี ธุรกิจไม่มาจ่ายคืน ผมก็บังคับขายที่ ซึ่งเราปล่อยกู้ไป 70%ของหลักประกัน ฉะนั้น โดยหลักบังคับหลักประกันขายไม่น่าขาดทุน

ส่วนการรับเงินฝาก เนื่องจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะลดการค้ำประกัน 5 ล้านบาทเหลือ 1 ล้านบาท โดยหลักเราเป็นแบงก์รับประกันโดยรัฐบาล ฉะนั้น ธนาคารจึงไม่จำเป็นสาดดอกเบี้ยแข่งกับแบงก์เล็กในตลาด โดยดอกเบี้ยของธนาคารสูงสุดเทียบ 5 แบงก์ใหญ่ ส่วนสำคัญเพราะเป็นแบงก์เพื่อการออม แต่ไม่แข่งกับแบงก์เล็ก กระทบก็ต้องบริหารจัดการ ฉะนั้น ครึ่งปีแรกไม่เน้นสินเชื่อแต่เน้นแก้หนี้ และทำให้คุณภาพสิรนทรัพย์ดีมั่นคงสำรองเพิ่มขึ้น