

- พร้อมยกระดับการสร้างผลกระทบเชิงบวก ผ่านมิติการดำเนินงาน 3 ด้าน
- การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรม การสร้างผู้ประกอบการ-ชุมชนเข้มแข็ง สร้างความมั่นคงยามเกษียณ
- ชูเงินสำรองเพื่อรองรับความเสี่ยงรวม 101,878 ล้านบาท ถือเป็นเงินสำรองที่แตะระดับแสนล้านครั้งแรกในประวัติการณ์
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ในปี 2566 ธนาคารได้วางแผนกลยุทธ์ดำเนินงานให้ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้ ธนาคารจะเปิด Non-bank ของธนาคารเอง ซึ่งก็จะทำให้ช่วยสามารถลูกค้ารายย่อยได้เต็มที่ ใช้ความเสี่ยงกำหนดอัตราดอกเบี้ยได้ดีขึ้น รวมถึงมีความคล่องตัวในการดำเนินการ จะนำไปใช้ในการแก้หนี้นอกระบบตามชุมชน โดยถือเป็นตัวที่ทำดิจิทัล เลนดิ้ง ตัวที่ 2 ที่จะทำควบคู่กับแอปพลิเคชัน MyMo คาดจะพร้อมเปิดได้ช่วงไตรมาส 3-4 ของปี 66
ทั้งนี้ ธนาคารออมสินยังมีแผนยกระดับการสร้างผลกระทบเชิงบวก Social Impact ผ่านมิติการดำเนินงาน 3 ด้านโดยตั้งเป้าให้ความช่วยเหลือและสร้างประโยชน์แก่ประชาชนและสังคมได้ในระดับที่ลึกและกว้างขึ้น และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามกรอบ SDGs อันประกอบไปด้วย

1. สร้างการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรม ผ่านบริการสินเชื่อที่ดิน “มีที่ มีเงิน” และบริการ Digital Lending ทั้งส่วนที่ให้บริการผ่านแอปฯ MyMo และให้บริการผ่าน Non-Bank ที่จะเปิดตัวภายในปีนี้
2. พัฒนาศักยภาพให้เข้มแข็งและยั่งยืน ผ่านการสร้างผู้ประกอบการ สร้างชุมชนเข้มแข็ง และการสร้างความมั่นคงยามเกษียณแก่ประชาชน
3. การบูรณาการแนวคิดเพื่อสังคมลงในภารกิจสำคัญของธนาคาร (Social Mission Integration) ทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product) ด้านกระบวนการดำเนินงาน (Process) และการทำโครงการพิเศษต่าง ๆ (Project)
นายวิทัย กล่าวต่อว่า สำหรับในด้านผลการดำเนินงานในปี 65 ณ วันที่ 31 ธ.ค.65 ธนาคารมียอดสินทรัพย์รวม 3.10 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้น 11% จากปี 62) มีเงินฝากรวม 2.64 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้น 9.7% จากปี 62) มีสินเชื่อรวม2.29 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6.7% จากปี 62) และระดับความแข็งแกร่ง โดยพิจารณาจากอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 17.69%

นอกจากนี้ ธนาคารยังสามารถควบคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ให้อยู่ในระดับ 2.55% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายควบคุม และมีเงินสำรองเพื่อรองรับความเสียหายจากหนี้เสียรวม 101,878 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเงินสำรองที่แตะระดับแสนล้านบาทครั้งแรกเป็นประวัติการณ์ ซึ่งจะช่วยเสริมแกร่งให้ธนาคารมีความมั่นคงในระยะยาว คิดเป็นสัดส่วนต่อNPLs (Coverage Ratio) สะท้อนความมั่นคงมีเสถียรภาพของธนาคารที่ระดับ 174.28%
“ธนาคารสามารถทำกำไรได้ในระดับที่เหมาะสมรวม 27,126 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิในระดับสูงกว่าปีที่ผ่านมา และสูงกว่าปี 62 ก่อนเปลี่ยนจุดยืนเป็นธนาคารเพื่อสังคม ซึ่งผลกำไรเกิดจากการที่ธนาคารลดต้นทุนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำกำไรไปจัดสรรทำภารกิจช่วยสังคมตามนโยบายรัฐ และนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินจำนวน 17,349 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดนำส่งสูงสุดอันดับที่ 4 จากรัฐวิสาหกิจ 58 แห่ง” นายวิทัย กล่าว
ทั้งนี้ หลังจากที่ธนาคารออมสินได้เปลี่ยนมาสู่การเป็นธนาคารเพื่อสังคมเต็มรูปแบบ ตั้งแต่กลางปี 63 ที่ผ่านมาธนาคารได้ตอบรับนโยบายรัฐบาลในการเป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ส่งต่อความช่วยเหลือไปยังภาคธุรกิจและประชาชน โดยทำภารกิจสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมได้ในวงกว้าง

โดยภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 ปี มีผู้ได้รับประโยชน์เป็นรูปธรรมผ่านโครงการต่างๆ มากถึง 16 ล้านคน คิดเป็นเม็ดเงินที่ธนาคารให้การสนับสนุนช่วยเหลือประชาชนแล้วกว่า 47,500 ล้านบาท โดยดำเนินการผ่านมิติความช่วยเหลือ3 ด้าน ได้แก่
1.มิติการช่วยลดต้นทุนการกู้ สร้างแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำและเป็นธรรม ผ่านโครงการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ โครงการลดดอกเบี้ยสินเชื่อครู โครงการดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาด ทำให้ประชาชนมีทางเลือกการกู้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง คิดเป็นส่วนต่างดอกเบี้ยเป็นเงินกว่า 32,800 ล้านบาท
2.มิติการช่วยลดภาระของลูกหนี้ ทั้งการออกมาตรการพักชำระหนี้และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงวิกฤติโควิด- 19 ซึ่งทำให้ธนาคารมีรายได้ลดลงกว่า 10,700 ล้านบาทจากการหยุดรับรู้รายได้ดอกเบี้ย
3.มิติการช่วยสนับสนุนงบประมาณ จำนวนกว่า 4,000 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเพื่อสังคม เช่นโครงการสร้างงานสร้างอาชีพ และโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอีกมากมายภายใต้กรอบแนวคิด ESG เป็นต้น