“อนุทิน” ขอบคุณประชาชนให้ความร่วมมือคุมโควิด ย้ำเข้าใจความเดือดร้อน พร้อมเสนอคลายล็อกแต่ต้องเน้นความปลอดภัย



วันนี้ (17 ม.ค.65) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงทิศทางการประชุมศบค. ในวันที่ 20 ม.ค.2565 นี้ โดยระบุว่า…

ได้เชิญนายแพทย์โอภาส การกวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค มาพบและชี้แจงให้ฟังว่าให้คำนึงถึงมิติเศรษฐกิจ การทำมาหากินและการใช้ชีวิต เพื่อให้ประชาชนดำเนินชีวิตเป็นปกติมากที่สุด ซึ่งกรมควบคุมโรคแถลงไปแล้วว่า แม้เชื้อโอมิครอนติดเชื้อได้เร็ว แต่จากลวิจัยที่รายงานเข้ามานั้น พบว่ามีความรุนแรงน้อยกว่า กับประเทศไทย ยังอย่ในจุดที่รับมือได้ เพราะเราฉีดวัคซีได้ตามเป้า และมีแนวปฏิบัติเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด 

โดยจากนี้ เราต้องเสนอให้มีการปรับมาตรการต่างๆ เพื่อให้ประชาชน กลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับปกติ แต่ก็ต้องปลอดภัยด้วย เรื่องพื้นที่สีจังหวัด ก็ต้องปรับ ขอให้ทบทวน พิจารณาจากหลายมิติ เศรษฐกิจต้องเดินได้ แต่หากมีรายงานการติดเชื้อเพิ่มขึ้น  ต้องสามารถรองรับจัดการได้  พร้อมสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตและให้ความร่วมมือ 

“ขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือมาโดยตลอด ขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือต่อไป เพราะยิ่งหากให้ความร่วมมือมาก เจะนำไปสู่การผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ภาครัฐ จะมีความกล้าตัดสินใจ วันนี้ เราเห็นประชาชน ไม่ใช่ไม่รู้สึก ตนได้พูดกับอธิบดีกรมควบคุมโรค ว่าต้องเข้าใจ การทำมาหากินของประชาชน เพราะข้าราชการยังไงก็มีเงินเดือน แต่ผู้ประกอบการลูกจ้างอยู่ได้ เพราะเศรษฐกิจขับเคลื่อนได้ ถ้าเศรษฐกิจหยุด ก็อยู่ลำบาก” นายอนุทิน กล่าว

ทั้งนี้เมื่อถามถึงการผ่อนคลายสถานบันเทิง นายอนุทิน กล่าวว่า ตรงไหนที่เป็นความเสี่ยงสูงจะต้องพิจารณาอย่างละเอียด เราเข้าใจปัญหาของผู้ประกอบการ และหาทางผ่อนคลาย  อย่างการขอเปลี่ยนรูปแบบจากผับบาร์มาเป็นภัตตาคาร เราเข้าใจ และเราก็ยอมดำเนินการตาม แต่ก็ขอให้เป็นร้านอาหารจริงๆ มีมาตรการแบบร้านอาหาร ไม่ใช่ไปเปิดเป็นผับบาร์ 

เมื่อถามว่าจะมีการเสนอที่ประชุมศบค. ให้กลับมาใช้มาตรการ Test and Go หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขคงเสนอให้พิจารณาเรื่อง Test and Go กลับมาใหม่ แต่ตอนนี้มีการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้นทุกอย่างต้องไปจบที่ศบค.  ทั้งนี้ ขอย้ำว่า เราเสนอทุกอย่าง เพราะอยากให้ประชาชน ได้คลายความเดือดร้อน แต่ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก และมีวิทยาการทางการแพทย์คอยค้ำจุนอยู่ จึงกล้าเสนอ