ส่อง 11 อุตสาหกรรม รับอานิสงส์เม็ดเงินเลือกตั้ง



  • สศอ.เผยเม็ดเงินเลือกตั้งปี66ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยพบมีงบประมาณจัดเลือกตั้งของกกต.มูลค่า5,945ล้านบาท
  • ประเมินยอดค่าใช้จ่ายกิจกรรมหาเสียงของพรรคการเมืองอยู่ที่21,664-30,368ล้านบาท
  • เผยอุตสาหกรรมเชื่อเพลิงสิ่งพิมพ์ผลิตภัณฑ์เคมีกระดาษอาหารเครื่องดื่มรับอานิสงส์เต็มๆ

นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยเม็ดเงินเลือกตั้งปี 66 ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย โดยมีแนวทางการวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม แบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้

1. เงินส่วนแรก คือ เม็ดเงินที่มาจากงบประมาณในการจัดเลือกตั้งของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มูลค่า 5,945 ล้านบาท โดยเงินส่วนนี้ กกตจะใช้เพื่อดำเนินการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งเช่น ป้ายรณรงค์เตรียมการเลือกตั้ง เช่น คูหา บัตร วิทยากรอำนวยความสะดวก  วันเลือกตั้ง เช่น จ้างพนักงานหน้าคูหา และการตรวจสอบผลการเลือกตั้ง

สำหรับอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์มากที่สุด คือ 1. น้ำมันเชื้อเพลิง 2. สิ่งพิมพ์และการพิมพ์โฆษณา 3. ผลิตภัณฑ์เคมี(เม็ดพลาสติก และน้ำหมึก) 4. กระดาษ และ 5. อาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น

ทั้งนี้ จะกระตุ้นใน GDP ภาคอุตสาหกรรม (GDP Manufacturing) เพิ่มขึ้น 3,054 ล้าน หรือ 0.03% และ MPI เพิ่มขึ้น 0.04%

2. เงินส่วนที่สอง คือ เม็ดเงินที่มาจากค่าใช้จ่ายในกิจกรรมการหาเสียงของพรรคการเมือง โดย กกตกำหนดไว้ให้สส.เขต สามารถใช้จ่ายหาเสียงได้ 1.9 ล้านบาท/คน และสส.บัญชีรายชื่อ ใช้จ่ายได้ 44 ล้านบาท/พรรค 

โดยในส่วนของเงินก้อนนี้ พรรคการเมืองจะใช้เพื่อดำเนินกิจกรรมการหาเสียง ไม่ว่าจะเป็นค่าสมัครรับเลือกตั้งค่าจ้างผู้ช่วยหาเสียงค่าเสื้อผ้าค่าสื่อโฆษณาป้ายค่าอุปกรณ์หาเสียงค่าเช่าสถานที่ปราศรัยค่ายานพาหนะเดินทาง และค่าอาหารเครื่องดื่ม โดยยอดค่าใช้จ่ายในกิจกรรมหาเสียงของพรรคการเมืองจะอยู่ที่ 21,664-30,368 ล้านบาท

นางวรวรรณ กล่าวว่า สามารถคำนวณเป็น 2 กรณี คือ 1. ค่าใช้จ่าย 21,664 ล้านบาท คิดจาก สส.เขต ลงสมัครเท่ากับปี 2562 โดยงบต่อคน 1.9 ล้านบาท และงบต่อพรรค 44 ล้านบาท และ 2. ค่าใช้จ่าย 33,368 ล้านบาท คิดจาก สส.เขต ลงสมัครเพิ่มขึ้นจากปี 2562 จำนวน 14.3% คน จากตำแหน่ง สส.เขต ที่เพิ่มจาก 350 เป็น 400 คน

นอกจากนี้ ยังพบว่าอุตสาหกรรมที่ได้รับผลเชิงบวกมากที่สุด คือ 1. อุปกรณ์วิทยุและเครื่องเสียง 2. เครื่องแต่งกายผลิตเพิ่มขึ้น 3. น้ำมันเชื้อเพลิง 4. ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ 5. สิ่งพิมพ์และการพิมพ์โฆษณา 6.อาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น

โดยเมื่อนำมาคำนวณ พบว่า เงินก้อนนี้กระตุ้น GDP Manufacturing เพิ่มขึ้น 34,821-48,808 ล้านบาท หรือ0.3-0.4% และ MPI เพิ่มขึ้น 0.4-0.6%”

ดังนั้น หากรวมเม็ดเงินทั้ง 2 ส่วน จากทั้ง กกตและพรรคการเมือง จะสามารถกระตุ้น GDP Manufacturing จะได้0.33-0.53% และกระตุ้น MPI ได้ 0.44-0.64%