
นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ที่มีรองนายกรัฐมนตรี นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ เป็นประธาน จะนัดประชุมคณะกรรมการชุดดังกล่าว เพื่อติดตามความก้าวหน้าในการผลักดันแผนการที่จะพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าของไทย
ทั้งนี้คณะกรรมการชุดดังกล่าว ได้ตั้งเป้าหมายระยะสั้น ว่า ภายในปี 2568 จะผลักดันให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท รวม 2.25 แสนคัน หรือเท่ากับ 10 % ของกำลังการผลิตรถยนต์ของไทยในปัจจุบัน และภายในปี 2573 ตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มเป็น 7.25 แสนคัน หรือ 30 % ของกำลังการผลิตรถยนต์ของไทย
นอกจากนี้คณะกรรมการชุดดังกล่าว ยังได้หารือกับสามการไฟฟ้าของประเทศ คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย,การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อให้เกิดการพัฒนา Smart Grid เพื่อรองรับยานยนต์ไฟฟ้า โดยคณะกรรมการตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2573 ประเทศไทย จะมีสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะ ในลักษณะ Fast Charge จำนวน 12,000หัวจ่าย ส่วนราคาค่าอัดประจุไฟฟ้าสำหรับนยานยนต์ไฟฟ้านั้น ปัจจุบันคิดใน อัตรา 2.60 บาท/หน่วย
“โครงสร้างภาษีดังกล่าว จะเอื้อต่อการสร้างความต้องการ ในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ และรวมถึงการดึงดูดการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และโรงงานแบตเตอรี่ สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า
ส่วนการปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ว่า ก่อนวันที่ 1 ตุลาคมนี้จะมีความชัดเจนเร็วๆนี้ โดยโครงสร้างใหม่ จะอยู่บนความสมดุลของ 4 เป้าหมาย คือ เกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบ จะต้องมีรายได้ที่เพียงพอ,จะต้องไม่ก่อให้เกิดการบริโภคบุหรี่มากจนเกินไป จนกระทบต่อสุขภาพของประชาชน,ราคาขายปลีกบุหรี่จะต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม เช่น ไม่สูงจนเกินไปจนกระทั่งคนกล้าเสี่ยงที่จะลักลอบนำเข้าบุหรี่เถื่อนเข้ามาขายในประเทศ และสุดท้ายการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ จะต้องไม่กระทบต่อรายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตบุหรี่ของกรมสรรพสามิตด้วย
อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ปี 2560 กรมสรรพสามิต ได้ใช้โครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่แบบ 2 อัตรา ( Two Tier) กล่าวคือ หากราคาขายปลีกบุหรี่ เกินกว่า 60 บาท/ซอง จะเสียภาษีสรรพสามิตที่ 40 % ,หากราคาขายปลีกไม่เกิน 60 บาท/ซอง จะเสียภาษีในอัตรา 20 % และกำหนดว่าภายในปี 2562 อัตราภาษีจะอยู่ที่อัตราเดียว คือ 40 % ไม่ว่าราคาขายปลีกจะอยู่ที่ราคาใดก็ตาม อย่างไรก็ตามการยาสูบแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ผูกขาดการผลิตบุหรี่แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ร้องเรียนว่าโครงสร้างภาษีบุหรี่ดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อยอดขายของการยาสูบ ทำให้กรมสรรพสามิต เลื่อนแผนการปรับขึ้นภาษีไปอยู่ที่ 40 % ออกไปจนถึง 30 กันยายน 2564 และในระหว่างนี้ให้กรมกลับมาพิจารณาโครงสร้างภาษีบุหรี่ที่เหมาะสมใหม่
นายลวรณ กล่าวว่า การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ใหม่นั้น จะต้องอยู่บนสมดุลของทั้งสี่ประการดังกล่าว เพราะหากเสียสมดุล จะก่อผลที่เราไม่ต้องการ เช่น หากภาษีสรรพสามิตบุหรี่ทำให้ราคาบุหรี่ปรับขึ้นไปสูงมาก ก็อาจเป็นแรงจูงใจให้เกิดการลักลอบขายบุหรี่เถื่อนมากขึ้น เป็นต้น










