

- สันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย กอด คอ บพท. จัดทำครั้งแรกในไทย “ชุดหลักสูตรนักพัฒนาเมืองระดับสูง”
- ขานรับกระแสการเปลี่ยนแปลงโลก เร่งเสริมทักษะท้องถิ่นไทยสู่ดิจิทัล
- เสริมความรู้ด้านบริหารจัดการ พิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพให้บริการประชาชน
นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีเทศบาลนครยะลา ในฐานะนายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ได้จัดทำชุดหลักสูตรนักพัฒนาเมืองระดับสูง ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศ อันเป็นนิมิตหมายอันดี ด้วยการลงนามในบันทึกความร่วมมือกันระหว่างสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย กับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

โดยเฉพาะหลังเกิดปรากฎการณ์ชัชชาติฟีเวอร์ขึ้นในกรุงเทพฯ จึงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กระตุ้นให้เกิดความตระหนักในคุณค่าความสำคัญของคำว่า ท้องถิ่นมากขึ้น และเกิดการยอมรับว่าทางรอดของเทศบาลคือทางรอดของประเทศไทย เพราะเทศบาลคือศูนย์กลางของชุมชน ศูนย์กลางของเศรษฐกิจ ตราบใดที่เทศบาลเข้มแข็ง ผมเชื่อมั่นว่าประเทศชาติก็จะเดินหน้าไปได้ด้วยดี ซึ่งต้องขอขอบคุณ บพท. อย่างมากที่เข้ามาช่วยทำหลักสูตรนักพัฒนาเมืองระดับสูง เพื่อยกระดับการพัฒนาเทศบาลให้มีความเข้มแข็ง
รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร และ รศ.ดร.ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรม บพท. กล่าวถึงว่า ชุดหลักสูตรนักพัฒนาเมืองระดับสูงดังกล่าว จะแตกต่างหลักสูตรอื่น ๆ ที่เคยมีเพราะเนื้อหาครั้งนี้จะเน้นนำเอาวิชาความรู้ไปลงมือปฏิบัติงานจริงในพื้นที่จริง

ความร่วมมือระหว่างสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย กับ บพท. มุ่งทำหลักสูตรนักพัฒนาเมืองระดับสูง เน้นการทำงานร่วมกันของภาคีในท้องถิ่น และมหาวิทยาลัยในพื้นที่ รวมทั้งเครือข่ายของสันนิบาตเทศบาล คู่ขนานไปกับแนวทางการทำงาน ภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัด เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่ประชาชน หรือการลงทุนแบบใหม่ บนฐานทุนทางวัฒนธรรม และทุนทางทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งถือว่าเป็นมิติใหม่ที่มีความสำคัญอย่างมาก
รศ.ดร.ปุ่น อธิบายว่า ได้ใช้ตัวชี้วัดผลลัพธ์ ผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร โดยจะพิจารณาประเด็นสำคัญ 3 ประการคือ 1.ความพึงพอใจของประชาชนในท้องถิ่น 2.ขีดความสามารถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการลงทุนด้วยตัวเอง 3.ข้อค้นพบที่จะต่อยอดขยายผลเพื่อส่งมอบไปเป็นนโยบายกับภาคส่วนต่าง ๆ
ขณะที่ รศ.ดร.ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรม บพท. กล่าวว่า ชุดหลักสูตรนักพัฒนาระดับสูงจะมีชื่อย่อว่า “พมส.” ประกอบด้วย 4 หลักสูตร (Modules) โดย Module แรกมีเป้าหมายเรียกว่า การสร้างความเข้าใจร่วมกัน กำหนดเป้าหมายร่วม สร้างวิสัยทัศน์ร่วมของการพัฒนาเมือง พัฒนาเทศบาลพัฒนาท้องถิ่นแนวใหม่ในยุคเศรษฐกิจใหม่ ที่ต้องอาศัยการประสานความร่วมมือของทุกภาคส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาล อบต. อบจ. ภาคเอกชน รวมทั้งภาคประชาชน

รวมทั้งยังต้องปรับกระบวนทัศน์ วิธีคิดในการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน นำมาวิเคราะห์ศักยภาพเพื่อหาโอกาสในการพัฒนาเมือง พัฒนาพื้นที่ในยุคเศรษฐกิจใหม่ เพราะในพื้นที่ของแต่ละเมือง แต่ละเทศบาลจะมีโอกาสในการพัฒนาต่อยอดได้อย่างไร หลังจบหลักสูตรสิ่งที่จะได้ก็คืออย่างน้อยจะทำให้เข้าใจว่าในระบบเศรษฐกิจใหม่มีความจำเป็นอย่างไร เมืองของเรามีศักยภาพมีโอกาสยังไงบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่เราเชื่อมท้องถิ่นกับโลกอย่างไร
หลังจากที่วิเคราะห์โอกาส และศักยภาพของเมือง ก็จะนำมาสู่เรื่องของ Module ที่ 2 คือข้อมูล ในโลกปัจจุบัน คงหนีไม่พ้นที่จะต้องพูดถึงดิจิตอล เทคโนโลยี คำถามก็คือว่าเราจะนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้อย่างไรในเชิงของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตอล หรือแม้กระทั่งเอามาใช้ในเชิงของการเชื่อมโยงแผน เชื่อมโยงงาน คน งบประมาณ และเชื่อมโยงภาคส่วนต่าง ๆ ด้วยระบบข้อมูลหรือเทคโนโลยีได้อย่างไร แล้วก็นำสิ่งเหล่านี้นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตอล

ในหลักสูตรมีจะ 4 กรอบเฉพาะ คือ กรอบที่ 1 เรื่องของเศรษฐกิจทางดิจิตอล ซึ่งเทศบาลไหนไม่สามารถทำ Digital Transformation ได้จะเสียโอกาส กรอบที่ 2 เรื่องเศรษฐกิจสีเขียว วันนี้ใครก็ต้องพูดถึง Green Economy หรือBCG (Bio-Circular and Green) แต่จะทำยังไงให้ทุนเดิมที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นทุนทางสิ่งแวดล้อม ทุนทางสังคม ทุนทางวัฒนธรรมต่าง ๆ เหล่านี้ถูกนำกลับมาใช้แล้วทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของท้องถิ่น
“Green Economy เป็นหนึ่งในสิ่งที่เหลือ เป็นสิ่งสุดท้ายที่ยังเหลือในประเทศไทย ก็คือ BCG คือถ้าเราไม่โฟกัสเรื่องนี้ประเทศไทยเราจะไม่เหลืออะไร แล้ววันนี้สิ่งที่เราเด่นที่สุดในประชาคมโลกคือสีเขียว เทคโนโลยีมีพร้อมแล้ว เพียงแค่เราต้องฉลาดที่จะเลือกใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมเท่านั้น”
กรอบที่ 3 ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม หลายแห่งมีเรื่องราวที่น่าสนใจเป็นมิติทั้งในเชิงของประวัติศาสตร์ มิติของทางวัฒนธรรม ซึ่งตรงนี้ถือเป็นสินทรัพย์ของเราในปัจจุบัน เพียงแต่ว่าเรายังไม่ได้ดึงสิ่งเหล่านี้มาใช้ในเชิงของการพัฒนาอาชีพหรือพัฒนารายได้ หรือพัฒนาคนให้เกิดความภาคภูมิใจในพื้นที่
ทั้งนี้มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าถ้าไม่เข้าใจที่มาที่ไป ไม่เข้าใจรากเหง้าของตัวเองแล้วจะไปออกแบบอนาคตในพื้นที่ของตนเองได้อย่างไร ซึ่งเป็นต้นสายสำคัญในการออกมาเป็นเรื่องที่เรียกว่า Historical and Cultural Economy คือเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากวัฒนธรรมของเราเอง
กรอบที่ 4 กลไกทางการเงินใหม่ เดิมอาจจะเป็นการกู้ธนาคารพาณิชย์ กู้กองทุนหรือกู้ในระบบ นอกจากนี้อาจจะมาจากการระดมทุน แต่วันนี้เราเติมเครื่องมือทางการเงินใหม่ระดมทุนในลักษณะของ Crowdfunding ที่ทำให้เกิดกองทุนในการพัฒนาเมืองพัฒนาจะทำอย่างไร เราพูดถึงเรื่องของกองทุนของเมืองแต่กองทุนจะเกิดมารูปแบบไหนก็เป็นสิ่งที่เราลงมือปฏิบัติ โดยใช้การวิจัยเป็นตัวสนับสนุนการดำเนินการ

เมื่อจบหลักสูตรนี้ผู้เข้าร่วมจะได้รับประโยชน์ซึ่งสามารถนำไปใช้งานได้จริงประมาณ 7 เรื่อง คือ 1.ความรู้ในระบบข้อมูลของเมือง หรือท้องถิ่น ซึ่งเกิดขึ้นจากการสร้างระบบและเรียนรู้ไปด้วยกัน 2.วิธีการลงทุนแบบใหม่และวิธีการหาเงินรูปแบบใหม่ เพื่อการต่อยอดขยายโอกาสพัฒนาเมือง 3.แผนธุรกิจและสังคมของท้องถิ่นและเทศบาล 4.เห็นถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับระบบอาหารระบบเกษตรแบบใหม่ 5.เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ด้วยทุนประวัติศาสตร์และทุนวัฒนธรรม 6.การจัดการภาครัฐแนวใหม่ 7.กลไกการเงินแบบใหม่ และสุดท้ายเรื่องการสร้างธรรมาภิบาลในท้องถิ่นเทศบาลและประชาชนสามารถตรวจสอบตนเองได้ในมิติต่าง ๆ
ทั้งนี้หลักสูตรข้างต้นจะใช้ระยะเวลาเรียนทั้งสิ้น 12 เดือน ประกอบด้วย หลักสูตรทั่วไป (Generic Modules) 2 เดือนหลักสูตรเฉพาะ (Specific Modules) 6 เดือน และ 1 Project – Based Modules 4 เดือน ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการคัดเลือกและทาบทามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้าร่วมในหลักสูตร คาดจะมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าร่วมเปิดหลักสูตรรุ่นที่ 1 ช่วงเดือนสิงหาคมนี้ 30 องค์กร จำนวนผู้เข้าร่วมหลักสูตรประมาณ 100 คน
เรื่องโดย…#เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza,www.facebook.com/penroongyaisamsaen