

- โดยเพิ่มชื่อบุตรทั้ง 2 คนในบัญชีบุคคลต้องห้าม
- ส่งผลให้คนอเมริกันไม่สามารถทำธุรกิจด้วยได้
- ส่วน”ยูเอ็นเอสซี”ประณามกองทัพเมียนมาใช้ความรุนแรง
รัฐบาลสหรัฐฯประกาศคว่ำบาตรบุตรทั้ง 2 คนของนายพลมิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการกองทัพเมียนมา รวมไปถึงธุรกิจต่างๆ ที่ทั้ง 2 ราย เป็นเจ้าของ โดยให้เหตุผลว่า ธุรกิจเหล่านั้นได้ประโยชน์โดยตรงจากตำแหน่งและอิทธิพลในทางมิชอบของนายพลมิน อ่อง หล่ายผู้เป็นพ่อ
กระทรวงการคลังของสหรัฐฯได้เพิ่มชื่อของบุตรของนายพลมิน อ่อง หล่ายทั้งสองคน ได้แก่อ่อง แป โซน บุตรชายอายุ 36 ปี และขิ่น ทิรี เต็ต มน บุตรสาวอายุ 39 ปี เข้าในบัญชีรายชื่อบุคคลต้องห้าม ซึ่งจะทำให้พลเมืองสหรัฐฯไม่สามารถทำธุรกิจร่วมกับบุคคลทั้ง 2 ได้ รวมไปถึงกิจการของทั้ง 2 รายรวม 6 แห่ง ซึ่งมีทั้งร้านอาหาร ฟิตเนส แกลเลอรี่ และบริษัทผลิตสื่อ
“กระทรวงการคลังตัดสินใจดำเนินมาตรการเช่นนี้ เพื่อตอบโต้กองทัพเมียนมา ที่เข้ายึดอำนาจบริหารจากรัฐบาลพลเรือนที่ชนะการเลือกตั้ง รวมถึงการสังหารผู้ประท้วงอย่างโหดเหี้ยม” กระทรวงการคลังสหรัฐระบุในแถลงการณ์
รัฐบาลสหรัฐฯภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้เปิดฉากตอบโต้คณะรัฐประหารของเมียนมาด้วยมาตรการกดดันทางการเงิน หลังกองทัพเมียนมาก่อเหตุรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา จนล่าสุด ประชาชนเมียนมาจำนวนมากออกมาประท้วงบนท้องถนน และขยายวงกว้างออกไปยังหลายเมืองมากขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ทหารได้ยิงกระสุนจริงเข้าใส่กลุ่มผู้ประท้วงเพื่อเป็นการรักษาอำนาจ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 60 ราย
ขณะที่สำนักข่าวเกียวโดรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวทางการทูตว่า คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) เห็นพ้องกับแถลงการณ์ของประธานยูเอ็นเอสซี ที่ประณามการใช้กำลังทหารของกองทัพเมียนมา ในการปราบปรามผู้ประท้วงการทำรัฐประหารเมื่อต้นเดือนก.พ.ที่ผ่านมา
แถลงการณ์ของประธานยูเอ็นเอสซี ได้ประณามการใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมอย่างสันติ รวมถึงผู้หญิง และเด็ก พร้อมทั้งเรียกร้องให้กองทัพเมียนมายับยั้งการใช้ความรุนแรง โดยแถลงการณ์ดังกล่าว ได้รับเสียงสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์จากสมาชิก 15 ประเทศของยูเอ็นเอสซี
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดเสริมว่า แถลงการณ์ฉบับดังกล่าวปรับเปลี่ยนเนื้อหาจากต้นฉบับเดิมที่อังกฤษร่างขึ้น โดยลบข้อความที่กล่าวประณามการทำรัฐประหารของกองทัพเมียนมา และการอ้างถึงความพร้อมของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในการเข้าดำเนินการที่จำเป็นเพื่อจัดการกับประเด็นดังกล่าว เนื่องจากจีนและรัสเซียเรียกร้องให้แก้ไขแถลงการณ์ดังกล่าว
ทั้งนี้ จีนและรัสเซียซึ่งเป็นสมาชิกถาวรของยูเอ็นเอสซี มักจะขัดแย้งกับสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกอื่นๆ ในประเด็นข้อพิพาทระหว่างประเทศ