สรรพสามิต เร่งหาข้อสรุปโครงสร้างภาษีบุหรี่ภายในสิ้นปีนี้ โดยคำนึงถึงรายได้-เกษตรกร-สุขภาพ



  • เตรียมใช้อี-แสตมป์ แยกบุหรี่เถื่อน
  • เล็งหนุนปลูกข้าวโพดหลังนาทดแทนยาสูบ

นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมสรรพสามิตกำลังเร่งหาข้อสรุปเกี่ยวกับโครงสร้างภาษีสรรสามิตยาเส้น และภาษียาสูบ ที่จะบังคับใช้ให้ชัดเจนภายในปีนี้ เนื่องจากที่ผ่านมามีการเลื่อนการขึ้นภาษีสรรสามิตยาเส้น และภาษียาสูบ ที่จะปรับขึ้นจาก 20% เป็น 40% ออกไปถึง 2 ครั้งแล้ว ได้แก่ 1 ต.ค.62 เป็น 1ต.ค.63 และ 1 ต.ค. 63 เปลี่ยนเป็น 1 ต.ค. 64

ทั้งนี้อัตราภาษียาเส้นและยาสูบที่จะใช้นั้นจะต้องคำนึกถึง 4 เรื่อง ได้แก่ 1.สร้างรายได้ให้กับประเทศ 2.ดูแลเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบ 3.ไม่ส่งเสริมให้คนสูบบุหรี่เพิ่มมากขึ้น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกังวล และ4. ต้องสามารถแข่งขันกับสินค้าเถื่อนได้

“ที่ผ่านมารัฐใช้วิธีต่ออายุภาษีบุหรี่ออกไปทุกปี ซึ่งผมไม่อยากทำแบบนั้น วันนี้ต้องมีข้อสรุปที่ต้องชัดเจนว่าโครงสร้างภาษีบุหรี่ที่จะบังคับใช้จริงๆ จะเป็นอย่างไร โดยต้องคำนึกถึงองค์ประกอบ 4 ข้อที่ได้กล่าวไปแล้ว และจะต้องกำหนดอัตราภาษีให้เหมาะสมไม่สูงหรือไม่ต่ำจนเกินไป ไม่เช่นนั้นในตลาดจะเกิดบุหรี่เถื่อนขึ้นมาก ซึ่งกรมสรรสามิตต้องเสียเวลาไปจับกุม”

อย่างไรก็ตามขณะนี้กรมสรรพสามิตกำลังศึกษาอยู่ว่าควรเก็บภาษีบุหรี่ในอัตราภาษีเดียวเหมือนกันทั้งระบบ หรือยังคงการเก็บ 2 อัตราแบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ สำหรับบุหรี่ราคาขายปลีกแนะนำไม่เกินซองละ 60 บาท เก็บภาษีในอัตรา 20% และบุหรี่ราคาขายเกิน 60 บาท เก็บภาษีในอัตรา 40 %

“ขณะที่ผู้ประกอบการบุหรี่ทั้งในและต่างประเทศต้องการความชัดเจนในอัตราภาษีบุหรี่ใหม่ เพื่อจะได้นำมาวางแผนกลยุทธ์เรื่องราคา เพราะการกำหนดอัตราภาษีใดๆก็ตาม ถ้าทำให้ราคาบุหรี่แพงขึ้นมา 3-5 บาท ถือเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะจะส่งผลกระทบกับตลาดบุหรี่ทั้งหมด”

อย่างไรก็ตามในเรื่องการบริหารจัดการบุหรี่เถื่อน ทางกรมสรรสามิตเตรียมจะใช้เทคโนโลยีเข้าไปช่วย คือ การใช้อี-แสตมป์ (E-stamp) ซึ่งกรมสรรพสามิตจะสามารถตรวจสอบได้ทันทีว่าออกมาจากโรงงานไหน เสียภาษีถูกต้องแล้วหรือยัง หรือถูกนำมาวนใช้ใหม่หรือไม่ ซึ่งการดำเนินการนี้เป็นไปตามกรอบอนุสัญญาขององค์การอนามัยโลกว่าด้วยการควบคุมยาสูบ (The WHO Framework Convention on Tobacco Control – FCTC)

นอกจากนี้ปัจจุบันพื้นที่เพาะปลูกยาสูบในภาคเหนือและภาคอีสาน 7 จังหวัด ลดลงปีละ 38,000 ไร่ต่อปี เนื่องจากการยาสูบแห่งประเทศ(ยสท.) รับซื้อใบยาสูบน้อยลง ซึ่งเรื่องนี้มีการตั้งคณะกรรมการหาพืชทดแทนใบยาสูบขึ้นมา โดยมีอธิบดีกรมสรรพสามิตเป็นประธาน ร่วมกับตัวแทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งในเบื้องต้นมีการพิจารณาพืชหลายชนิด เช่น ข้าวโพดหลังนา ที่รัฐบาลมีการประกันรายได้ให้เกษตรกร และลักษณะพื้นที่ปลูกก็ใกล้เคียงกัน เป็นต้น

“ปัญหา คือ เรื่องการตลาด เมื่อเขาปลูกพืชมาจะขายที่ไหน ดังนั้นจึงต้องมีตลาดรองรับที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังต้องดูเรื่องความเสี่ยงเรื่องราคาที่พืชแต่ละชนิดจะมีราคาไม่เท่ากันด้วย เพราะที่ผ่านมาเกษตรกรยาสูบทำคอนแทรคฟาร์มมิ่ง (contract farming) คือ ระบบการเกษตร การเลี้ยงสัตว์ หรือการเพาะปลูกพืช ที่มีการทำสัญญาซื้อขายผลผลิตล่วงหน้าระหว่างฝ่ายเกษตรกร กับคู่สัญญา คือ ยสท.มาโดยตลอด จึงไม่ต้องแข่งขันกับใคร”