

- ชูโรงสินค้าเหล้า-เบียร์ แอลกอฮอล์ 0% เทรนด์ดื่มวัยรุ่นยุคใหม่ ก็จะเก็บภาษีที่ต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์สูง
- สนับสนุนน้ำมันไบโอเจ็ท ไบโอพลาสติก ก็จะจัดเก็บภาษีต่ำ
- เล็งช่วยลดการบริโภคสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำลายส่ิงแวดล้อม
- เพื่อความน่าอยู่ ของสังคมและความยั่งยืนของประเทศ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2566 นี้ ทางกรมสรรพสามิต ได้วางยุทธศาสตร์ที่จะเร่งศึกษาการกำหนดอัตราการจัดเก็บภาษีเกี่ยวกับด้านสุขภาพ และส่ิงแวดล้อม อันประกอบด้วย 1.น้ำมันไบไอเจ็ท 2.ไบไอพลาสติก 3.แบตเตอรีรถยนต์ไฟฟ้า 4.เหล้า-เบียร์ ที่มีแอลกอฮอลล์ 0% 5.บุหรี่ไฟฟ้า และ 6.ภาษีคาร์บอน โดยทางกรมฯ ตั้งเป้าไว้ว่าผลการศึกษาดังกล่าวนี้ จะมีข้อสรุปเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ ส่วนจะจัดเก็บเมื่อใดนั้น ต้องรอเวลาการกำหนดพิกัดอัตราภาษีที่เหมาะสมก่อน
นายเอกนิติ กล่าวต่อว่า ยกตัวอย่างเช่นปัจจุบันกรมสรรพสามิต จัดเก็บภาษีแบตเตอรี่อยู่ที่ 8% แต่หากปรับโครงสร้างภาษีใหม่ หากเป็นในรูปแบบของแบตเตอรี่ที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ อาจเว้นการจัดเก็บภาษี หรือจัดเก็บที่2% และหากเป็นแบตเตอรี่ที่รีไซเคิลไม่ได้ ก็จะจัดเก็บอัตราภาษีที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับภาษีเหล้า-เบียร์ ที่มีปริมาณแอลกอฮอลล์สูง ก็จะจัดเก็บภาษีในระดับที่สูง แต่หากไม่มีแอลกอฮอล์หรือ เป็นผลิตภัณฑ์เบียร์-เหล้า 0% ก็จะจัดเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำ

“นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของสินค้าที่มีส่วนทำลายสิ่งแวดล้อมก็มีแนวคิดที่จะต้องเก็บภาษีในอัตราที่สูง หากสินค้าใดเป็นมิตรรักษาสิ่งแวดล้อม เก็บภาษีต่ำ เช่นเดียวกับภาษีความเค็มมาก และความหวาน ก็ต้องเก็บภาษีสูง หวานน้อยเค็มน้อยก็เก็บภาษีต่ำ เพื่อรักษาสุขภาพของคนไทย” นายเอกนิติ กล่าว
นายเอกนิติ กล่าวด้วยว่า หากมองให้ดีการจัดเก็บภาษีในเรื่องค่าความหวาน-เค็ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 0% ก็มีส่วนให้ผู้ประกอบกันมาใส่ใจการผลิตผลิตภัณฑ์มากขึ้น ซึ่งก็ส่งผลให้ผู้บริโภคได้บริโภคของที่ดี ส่งผลให้มีสุขภาพที่ดีตามไปด้วย ทั้งนี้ ในแต่ละปีรัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณการรักษาสุขภาพของประชาชนมากสูงถึง 100,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานกว่า 5 ล้านคน มีผู้ป่วยฟอกไต 100,000-200,000 คน และยังมีผู้ป่วยโรคปอด โรคตับแข็งอีกจำนวนมาก ประกอบกับขณะนี้ประเทศไทย กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยที่รัฐบาลต้องเข้าไปดูแล ดังนั้นจึงควรใช้มาตรการช่วยลดการบริโภคสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพก็ตะเป็นเรื่องที่ดี
“การศึกษาปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตครั้งนี้ เป็นการดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล(Governance) หรือ ESG สร้างมาตรฐานสากล เดินหน้าเศรษฐกิจไทยสู่ความยั่งยืน ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานให้ประเทศมีความสามารถในการแข่งขัน สร้างเศรษฐกิจให้เติบโต ส่งเสริมสังคม และสนับสนุนให้ประชาชนในประเทศ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งในด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และกรมสรรพสามิตยังสามารถช่วยรักษาเสถียรภาพการคลังและวางรากฐานให้สังคมไทยด้วย โดยปีงบประมาณ2566 กรมสรรพสามิตมีเป้าหมายการจัดเก็บรายได้รวม 567,000 ล้านบาท” นายเอกนิติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมี 4 เทรนด์ ที่ท้าทายต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลต่อการดำเนินงานของกรมสรรพสามิต ได้แก่ 1. การฟื้นตัวจากโควิด-19 ท่ามกลางสงครามการค้าและราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น 2. การเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีที่ส่งผลให้เกิด การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของภาคธุรกิจและผู้บริโภค 3. สังคมผู้สูงอายุส่งผลให้ธุรกิจด้านสุขภาพมีการเติบโตมากขึ้น และ 4. ภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกทำให้ทุกประเทศต้องให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้มาตรการทางภาษีเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ สู่ความยั่งยืนในอนาคต