

- ชี้ผับ/บาร์ได้รับผลกระทบมานาน
- รอรัฐบาลพิจารณาข้อเสนอร่วม 16 องค์กร
- แก้กฎหมาย ห้ามขายเหล้า-เบียร์ บ่าย 2 ถึง 5 โมงเย็น
นายธนากร คุปตจิตต์ อดีตนายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่า ปัญหาเรื่องของต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นสูงนั้น มีผลกระกบต่อธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เช่นกัน ซึ่งก็มีข่าวไปแล้วว่าจะมีการปรับราคาสินค้าเพิ่ม โดยส่วนที่ปรับราคาเพิ่มขึ้นแล้ว คือ กลุ่มเบียร์ กลุ่มเหล้าขาว ซึ่งเหตุที่ปรับขึ้นแค่เพียงกลุ่มนี้ เนื่องจากว่าเบียร์เป็นสินค้าที่อายุสั้น จะมีการชี้แจงต้นทุนกับกรมสรรพสามิต เพื่อจ่ายภาษีตามกฎหมาย ในทุกวันที่ 15 ของทุกเดือน จึงทำให้สำแดงต้นทุนราคาที่เพิ่มขึ้นได้ในทันที
ขณะที่กลุ่มสุรานำเข้านั้น ถ้าถามว่าได้รับผลจากเรื่องต้นทุนแพงหรือไม่ ก็แน่นอนต้องโดน แต่ที่ยังไม่ปรับราคาขึ้นเนื่องจากธุรกิจเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายเครื่องดื่มก็ได้รับผลกระทบมานาน ตั้งแต่การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทำให้สินค้านำเข้าส่วนใหญ่ยังคงเหลืออยู่ในสต๊อก ซึ่งได้แจ้งต้นทุนและเสียภาษีให้กับกรมสรรพสามิตไปแล้ว ดังนั้น จึงปรับราคาขึ้นไม่ได้ เพราะจะโดนโทษปรับได้ รวมถึงสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่คนไม่ค่อยจับจ่ายใช้สอย เชื่อว่าผู้ประกอบการคงไม่อยากปรับขึ้นราคาให้ขายยากไปกว่าเดิมแน่ โดยคาดว่าถ้าจะมีการปรับขึ้นราคา น่าจะเป็นช่วงไตรมาส 4 ปี 2565 นี้ เนื่องจากเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวและบริการ กลับมาคึกคัก จากการเปิดประเทศในปลายปีนี้ ทำให้มีการนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ล็อตใหม่
“ส่วนร้านค้าปลีกนั้น กรมสรรพสามิตยืนยันแล้วว่าจะมีการลงพื้นที่สุ่มตรวจราคาขาย ถ้าหากพบว่า มีการขายเกินราคาก็จะต้องมีการลงโทษและโดนค่าปรับด้วย ดังนั้น จะช่วยให้ร้านค้าไม่กล้าขายเกินราคา เพราะไม่รู้ว่าจะโดนตรวจสอบเมื่อไหร่ อย่างไรก็ดี สินค้ากลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สุรา เบียร์ นั้นไม่ใช่สินค้าควบคุม แบบไข่ไก่ เนื้อหมู จึงไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์” นายธนากรกล่าว
นายธนากรกล่าวถึงกรณีที่การประชุมของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ยังไม่ได้พิจารณาอนุญาตให้เปิดสถานบันเทิงได้นั้นว่า ในส่วนเรื่องของสถาบันเทิง ผับ และบาร์นั้น ปัจจุบันได้รับผลกระทบมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว และที่ถูกสั่งให้ปิดกิจการชั่วคราว แม้รัฐบาลได้เยียวยาในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรนัก รวมถึงมีผลกระทบโดยรวม การที่ไม่ให้เปิดสถานบันเทิง และการอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้นั้น ไม่ใช่กระทบแค่กับผับ บาร์ แต่จะกระทบไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ ธุรกิจอาหาร พ่อครัว นักดนตรี นักแสดง และธุรกิจบริการต่างๆ ธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน กระทบไปถึงบริการรถโดยสารสาธารณะต่างๆ ด้วย เช่น แท็กซี่ เป็นต้น
ถ้านับจากวันนี้ไปอีก 103 วัน ที่รัฐบาลประกาศว่าโรคโควิดจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น ก็คงเป็นโอกาสของการเปิดประเทศอย่างชัดเจน ธุรกิจ โดยเฉพาะสถานบันเทิง ก็จะได้โอกาสกลับมาเปิดเป็นปกติ หลังจากที่พิจารณาเลื่อนมาหลายครั้ง อย่างไรก็ดี เมื่อไม่นานมานี้ สมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พร้อม 16 องค์กรภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาทิ สมาคมค้าปลีก สมาคมผู้ประกอบการถนนข้าวสาร สมาคมร้านอาหาร เพิ่งได้ขอสรุปสำหรับข้อเสนอต่อรัฐบาล ให้ทบทวนกฎหมาย ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช่วงเวลา 14.00-17.00 น. ผ่านคณะกรรมการพัฒนากฎหมายของรัฐ
ซึ่งล่าสุด รัฐบาล โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ก็ได้ให้สัมภาษณ์แล้วว่าจะรับทราบเรื่องไว้ แต่ทั้งนี้มีความเห็นว่ายังไม่ใช่เรื่องที่จะหยิบยกมาพิจารณาในขณะนี้ทันที ถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่ไม่ได้มีการปฏิเสธ แต่ก็ต้องติดตามต่อไป
“การแก้ไขข้อกฎหมายนี้ จะช่วยในเรื่องกระตุ้นการหมุนของเศรษฐกิจ และการใช้จ่ายในภาคบริการต่างๆ ในช่วงเวลาที่ห้ามขาย 14.00-17.00 น. ทั้งนี้ ภาคเอกชนที่ร่วมยื่นข้อเสนอนี้ไม่ได้ขอให้ยกเลิกการขายในเวลาเช้าเลย แต่ให้ยกเลิกในเวลาบ่าย เพื่อช่วยการหมุนเวียนของเศรษฐกิจ รวมไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ร้านอาหาร และโรงแรม ให้สอดคล้องกับบรรยากาศเทศกาลสงกานต์ที่จะถึงนี้ แม้ว่าในช่วงสงกรานต์จะไม่มีการจัดงานเต็มรูปแบบ ในการให้เล่นน้ำ แต่ถ้าคนได้เดินทาง กลับบ้านหรือท่องเที่ยว ก็จะช่วยได้เยอะมาก” นายธนากรกล่าว